วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

5 จุดสำคัญวิเคราะห์งบการเงิน

งบการเงินช่วยบอกให้รู้ว่าผลประกอบการบริษัทที่เราสนใจดีหรือไม่ดีอย่างไร ควรถือยาวหรือไม่ หรือเล่นสั้นตีหัวเข้าบ้านไป หรือโชคร้ายอาจโดนเจ้ามือตีหัวแทน ถ้าผลประกอบการในอนาคตดีราคาหุ้นยังไงก็ต้องวิ่งโอกาสขาดทุนน้อย โดย 5 จุดสำคัญที่ควรดู มีดังนี้

1.โครงสร้างงบดุล
มองหนี้รวมเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นถ้าบริษัทไหนหนี้สินเยอะๆ เกิน 2 เท่าของทุนให้ระมัดระวังเพราะถ้าสภาพคล่องไม่ดี ดูสภาพคล่องที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในข้อ 3 ให้เป็นบวกไว้ก่อน ถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลยอนาคต อาจมีการเพิ่มทุน หรือถ้าเลวร้ายหาเงินไม่ทันก็ล้มละลายได้

2.รายได้และกำไร
บริษัทที่ดีควรมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น อัตรากำไรสม่ำเสมอ ถ้าอัตรากำไรไม่สม่ำเสมอต้องไปอ่านคำอธิบายผลประกอบการว่ารายได้ลดลงหรือรายจ่ายเพิ่มขึ้นเพราะอะไร เป็นเหตชั่วคราวหรือไม่

3.กระแสเงินสดของกิจการ
เวลาอ่านควรให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ควรมีค่าเป็นบวกและใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุน แสดงให้เห็นว่าบริษัทมี สภาพคล่องทำมาหากินแล้วมีเงินงอก เงินส่วนนี้สามารถนำไปลงทุน จ่ายดอกเบี้ย จ่ายเงินต้น และปันผลได้
ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน (CFI) ควรมีค่าเป็นลบ แสดงถึงบริษัทมีการลงทุนขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน (CFF) ควรมีค่าเป็นลยเช่นกัน เพราะแสดงว่าบริษัทเอาเงินไปจ่ายหนี้เงินต้น หรือจ่ายปันผล

4.อัตราส่วน ROE
ROE แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรกลับมาหาผู้ถือหุ้นเท่าไร บริษัทที่ดีความมีค่า ROE สม่ำเสมอไม่ผันผวน ถ้าบริษัทที่มี ROE ลดลงติดๆกันหลายๆปี แสดงว่าบริษัทมีแนวโน้มกำลังเติบโตช้าลง ถือไปชาตินึงหุ้นก็ไม่ขึ้น

ROE สามารถแยกองค์ประกอบออกได้อีกเป็น 3 ประเด็นคือ

  • อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE ratio) มองภาพรวมของหนี้ บริษัทที่ดี DE จะสม่ำเสมอ บริษัทที่ DE สูง จะทำให้ ROE สูงแต่ผู้ถือหุ้นก็เสียวล้มละลายไปด้วย
  • อัตราส่วนหมุนเวียนทรัพย์สิน (Asset turnover) บอกว่าสินทรัพย์ของบริษัท 1 บาททำไปสร้างรายได้ได้เท่าไร บริษัทที่ดีอัตราส่วนนี้จะสม่ำเสมอ
  • อัตรากำไรสุทธิ บอกว่ายอดขาย 100 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือกำไรเท่าไร บริษัทที่ดีควรมีอัตรากำไรสม่ำเสมอ ถ้าไม่สม่ำเสมอต้องไปหาสาเหตุว่าอัตรากำไรลดลงเพราะอะไร


5.อัตราส่วน PE
PE ใช้วัดความถูกแพงของหุ้น หุ้นที่ PE สูงๆ เกิน 20 เท่าขึ้นไป แสดงว่าตลาดให้ค่ากับกำไรในอนาคตค่อนข้างเยอะ จะซื้อหุ้นต้องไปตามข่าวในอนาคตเอาว่ามีโครงการอะไรทำให้หุ้นโตได้บ้าง
แต่ถ้า PE ต่ำมากๆ ก็ต้องระวังว่าเป็นกำไรพิเศษที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน กำไรจากรอบช่วง PEAK ของหุ้นวงจร หรือกำไรของบริษัทกำลังมีแนวโน้มต่ำลงหรือไม่ ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขก็แสดงว่า PE ของบริษัทที่เรากำลังจะซื้อไม่แพงเกินไป ติดดอยก็น่าจะยังมีปันผลกิน

ตัวเลขพวกนี้ไม่ต้องคำนวณเองครับ ตลาดหลักทรัพย์เขาทำมาเป็น fact sheet ไว้ให้แล้ว สามารถเข้าไปดูได้ฟรีๆครับผม เข้าไปลิงค์นี้อยากดุหุ้นตัวไหนแก้ตรง url bar จาก symbol=PTT เป็นชื่อหุ้นที่ต้องการ  http://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=PTT&ssoPageId=3&language=th&country=TH 

การไล่ดูงบตามขั้นตอนนี้ทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะหสภาพของกิจการได้คร่าวๆ และวางแผนการลงทุนได้ไม่ยากครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่าน

ที่มา: ภัทรธร ช่อวิชิต, "เจาะหุ้นร้อนแสกนหุ้นเด้ง", สำนักพิมพ์ thinkgood, 2558.

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

สงสัยอะไรถามได้ครับผม