วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

5จุดสำคัญอ่าน Fact sheet ให้เข้าใจธุรกิจ


Fact sheet เป็นข้อมูลสรุปที่ทางตลาดหลักทรัพย์ทำไว้ให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์หุ้นได้ในเบื้องต้นได้ โดยสรุปข้อมูลที่สำคัญๆ ไว้ทั้งงบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด อัตราสวนทางการเงิน และเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินมูลค่าเช่น PE PBV EV/EBITDA ไว้ให้แล้ว ขอเพียงเราอ่านให้เป็น จะบอกได้ว่าบริษัทที่เราสนใจลงทุน ดีหรือไม่ดีอย่างไร ราคาถูกหรือแพงไปหรือไม่ ข้อมูลนี้สามารถเข้าไปดูได้ฟรีๆ ได้ที่เว็บของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เลย

www.set.or.th

การหาหุ้นที่ต้องการในเว็บตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย set.or.th

factsheet จะอยู่ตรงขวาบน จิ้มเข้าไปได้เลย



อีกวิธีก็เข้าไปลิงค์นี้อยากดุหุ้นตัวไหนแก้ตรง url bar จาก PTT เป็นชื่อหุ้นที่ต้องการ ได้เลย
https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/ptt/factsheet 

เมื่อเปิดได้แล้ว จะมี 5 จุดสำคัญที่ควรดังนี้

1.ดูความแข็งแกร่งของบริษัทผ่านงบดุล


งบแสดงฐานะการเงินหรือเรียกสั้นๆว่า งบดุลถือเป็นแกนกลางของธุรกิจ ถ้าบริษัทไหนมีโครงสร้างของงบดุลที่แข็งแรง ในระยะยาวจะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง โดยงบดุลจะแสดงข้อมูล 2 เรื่องคือแหล่งที่ใช้ไปของเงิน และแหล่งที่มาของเงิน โดยแสดงอยู่ในรูปของสมการบัญชีคือ

แหล่งที่ใช้ไปของเงิน = แหล่งที่มาของเงิน
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน + กำไรสะสม
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน + รายได้ – รายจ่าย
สินทรัพย์  รายจ่าย = หนี้สิน + ทุน + รายได้

โดยสินทรัพย์จะถูกแบ่งเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน เป็นสินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินได้ใน 1 ปี กับสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ใช้เวลาแปลงเป็นเงินมากกว่า 1 ปี
ส่วน หนี้สิน จะถูกแบ่งออกเป็นหนี้สินหมุนเวียนกับ เป็นหนี้สินที่ต้องใช้ใน 1 ปี กับ หนี้สินไม่หมุนเวียนที่เป็นหนี้สินที่ชำระตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป



โดยประเด็นสำคัญของงบดุลที่ต้องดูมีดังนี้

1.1 ดูความเสี่ยงเรื่องหนี้สิน


บริษัทที่จัดหาเงินด้วยโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เบื้องต้นให้ดูภาพรวมของหนี้สินว่ามากหรือน้อยเพียงไร โดยดูจากหนี้รวมเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นถ้าบริษัทไหนหนี้สินเยอะๆ เกิน 2 เท่าของทุนให้ระมัดระวังเพราะถ้าบริษัทผลประกอบการไม่ดีขาดทุนต่อเนื่อง ขาดสภาพคล่อง(ดูสภาพคล่องในส่วนของงบกระแสเงินสด) หรือมีโครงการที่ต้องลงทุนในอนาคตที่ต้องใช้เงินเยอะๆ บริษัทอาจมีการเรียกเพิ่มทุนและเราต้องใส่เงินเพิ่มได้  หรือถ้าเลวร้ายหาเงินไม่ทันก็ล้มละลายได้

ในส่วนของโครงสร้างหนี้ระยะสั้น ให้ดูสินทรัพย์หมุนเวียน เทียบกับหนี้หมุนเวียน โครงสร้างปกติจะมีสินทรัพย์หมุนเวียนใกล้เคียงกับหนี้หมุนเวียน แสดงว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ดีเนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ใน 1 ปี ใกล้เคียงกับหนี้สินที่ต้องชำระใน 1 ปี เพื่อเป็นการยืนยันว่าบริษัทมีสภาพคล่องในการชำระหนี้ระยะสั้นจริงๆ ต้องไปดูที่งบกระแสเงินสด ในส่วนของเงินสดจากการดำเนินงาน ถ้ามีค่าเป็นบวกจะเป็นการยืนยันว่าในระยะสั้นกิจการมีสภาพคล่องเพียงพอจ่ายหนี้จริงๆ

1.2ดูการเปลี่ยนแปลงงบดุลเพื่อบอกนัยยะของธุรกิจ


การเปลี่ยนแปลงของแต่ละรายการในงบดุลสามารถบอกนัยยะของธุรกิจได้ ถ้าบริษัทมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น แสดงว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆ มักจะมีการขยายกิจการเรื่อยๆ เราจะเห็นรายการนี้เติบโตทุกปีล้อไปกับยอดขาย แต่ถ้าเป็นบริษัทเล็กๆ มักจะนานๆลงทุนครั้งใหญ่ๆ ซักทีให้เราไปค้นข่าวดูว่ามีโครงการอะไร และจะเปิดดำเนินการเมื่อไร ถ้าดูแล้วเป็นโครงการที่มีอนาคตดีก็สามารถลงทุนได้

การวิเคราะห์เบื้อต้นต้องนำไปเทียบกับกลยุทธ์องค์กรว่าต้องการมุ่งไปในทิศทางไหน ขยายแบบแนวดิ่งไปทำธุรกิจเดียวกัน หรือขยายแบบแนวข้างไปลงทุนในธุรกิจอื่น แล้วสินทรัพย์ที่องค์กรไปซื้อมาสอดคล้องกับกลยุทธ์หรือไม่ ลงทุนไปแล้วเรามีความชำนาญในการจัดการให้ได้กำไรหรือไม่ ซึ่งนักลงทุนสามรถดูภาพรวมว่าผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นอย่างไร จากทิศทางของ ROA ถ้าลงทุนเพิ่มสินทรัพย์โตเรื่อยๆ และ ROA สม่ำเสมอแสดว่าใส่เงินเหมาะสมและโครงการที่ลงทุนไปให้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่า

ถ้าบริษัทมีการลงทุนโครงการใหญ่ต้องดูว่าจัดหาเงินมาจากแหล่งไหน ถ้าสินทรัพย์ไม่หมุนที่อายุมากกว่า 1 ปีเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะล้อไปกับ หนี้สินไม่หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น เพราะเหมือนกู้เงินยาวมาเพื่อลงทุนยาวๆ แต่ถ้าสลับกับบริษัทไปกู้เงินระยะสั้นมาเพื่อลงทุนยาว ผมมองว่าเป็นการจัดโครงสร้างเงินทุนที่ไม่เหมาะสม อนาคตจะไม่ค่อยดีเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นมักจะสูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว ถ้าบริษัทจัดการสภาพคล่องไม่ดีอาจล้มละลายได้

สำหรับการเปลี่ยนแปลงใน สินทรัพย์หมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียน มักจะล้อไปกับยอดขาย ถ้าบริษัทมีกิจกรรมดำเนินงานสูงขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีเจ้าหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ และลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน ถ้าไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในสัดส่วนเดียวกันต้องระมัดระวัง เช่นยอดขายไม่โต แต่ลูกหนี้การค้าโตมากแสดงให้เห็นว่าบริษัทเริ่มมีปัญหาเก็บเงินไม่ได้ หรือสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นผิดสังเกตอาจมีปัญหา สต็อกล้นได้ อนาคตก็อาจต้องนำสินค้าตัวนั้นมาเลหลังขายถูกๆ กำไรอนาคตก็จะลดลง
งบดุลของ MINT
กดที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่
จากภาพแสดงตัวอย่างงบ แสดงฐานะการเงินของ MINT ที่ทำธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม เป็นธุรกิจบริการจะเห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นส่วนของสินทรัพย์ทั้งหมด จากากรวมสินทรัพย์ทั้งหมด 80000 ล้าน เป็นสินทรัพย์หหมุนเวียนเพียง 15000 ล้านเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 80000 - 15000 = 65000 ล้านบาท มากกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์รวมทั้งหมด

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนขยายกิจการค่อนข้างเยอะๆ เห็นได้จากสินทรัพย์ไม่หมุนเพิ่มขึ้น ที่เห็นๆคือตัวที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนือ่ง สะท้อนแผนธุรกิจที่ขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ

ส่วนหนึ่งมาจากการซื้อกิจการ สังเกตได้จากส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเพิ่มขึ้น ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยคือส่วนของผู้ถือหุ้นคนอื่นที่ไม่ใช่ MINT ที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทย่อยที่เราไปซื้อกิจการมา (ในงบการเงินรวมนำสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทย่อยทั้งหมดมารวม ดังนั้นส่วนของผู้ถือหุ้นต้องแบ่งคืนให้ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยไปเพราะไม่ใช่องเรา) ถ้้าตัวเลขส่วนนี้เพิ่มแสดงว่ามีการซื้อกิจการและเราไม่ได้ถือหุ้นบริษัทนั้นเต็ม 100%

การจัดหาเงินมาลงทุนก็มาทั้งส่วนของหนี้สินที่มีการกู้เงินเพิ่ม และส่วนของผู้ที่หุ้นที่มาจากกำไรสะสมที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในหนี้ไม่หมุนเวียนแสดงว่ากู้ยาวมาลงยาว(สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน) ถือว่าเหมาะสม

2.ดูความสามารถในการทำกำไรจากงบกำไรขาดทุน


ผู้ถือหุ้นให้เงินลงทุนกับบริษัทไปเพื่อแสวงหากำไร ถ้ามองเหมือนการทำสงคราม งบดุลเหมือนการจัดทัพออกศึก ผลงานของกองทัพคือไปออกรบและได้ชัยชนะกลับมา ผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล

บริษัทที่ดีควรมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอไม่ผันผวน และดูการควบคุมรายจ่ายแต่ละขึ้นโดยดูคู่กับอัตรากำไร เป็นเป็นการนำกำไรแต่ละขั้นมาเทียบกับยอดขายแบ่งเป็น 3 ขั้นคือ อัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin; GM)  อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operation Margin; OM) หรือเรียกอีกอย่างว่า EBIT margin และอัตรากำไรสุทธิ (Net profit Margin; NM) ควรพิจารณา gap ทั้งสามค่าว่ารักษาสัดส่วนที่คงที่ เพราะช่วงต่างแต่ละอัตรากำไรบอกค่าใช้จ่ายในกิจการโดยรวมได้ดี GM ไปยัง OM คือสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร OM ไปยัง NM คือ ต้นทุนการเงินหรือดอกเบี้ยจ่าย และภาษี เราจะพอเห็นภาพได้ว่าบริษัทมีภาระค่าใช้จ่ายคงที่ตรงไหนมากสม่ำเสมอ ถ้าอัตรากำไรไม่สม่ำเสมอต้องไปอ่านคำอธิบายผลประกอบการว่ารายได้ลดลงหรือรายจ่ายเพิ่มขึ้นเพราะอะไร เป็นเหตุชั่วคราวหรือไม่ ถ้ามองเป็นการตกแค่ชั่วคราวก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อหุ้นเพราะไตรมาศต่อไปการทำกำไรก็จะกลับมาที่เดิม

งบกำไรขาดทุน
กดที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่
งบกำไรขาดทุนของ MINT ตามสูตรคือยอดขายโต กำไรเติบโต เวลาดูต้องระวังคือ รายได้อื่นถ้าโตผิดสังเกตต้องตั้งข้อสงสัยว่ามันคืออะไร อย่างในปี 2558 mint มีกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อโรงแรมในต่างประเทศทำให้กำไรโตผิดปกติไป

อีกจุดที่น่าสนใจคือ EBITDA นำมาดูเทียบกับค่าเสื่อมค่าตัดจำหน่าย ที่เป็นเหมือนต้นทุนของสินทรัพย์ที่เสื่อมค่าลงทุนวัน ถ้าบริษัทไหนทำ EBITDA ได้สูงกว่าค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายเยอะๆ ถือว่าใช้สินทรัพย์ได้คุ้มค้า บริษัทไหนที่ EBITDA เลย ค่าเสื่อมไม่มาก ทางแก้คือไม่เพิ่มรายได้จากสินทรัพย์เดิมให้มากขึ้น ก็ต้องเพิ่มอัตรากำไรให้ได้ และไปลดค่าเสื่อมโดยการขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้สร้างรายได้ทิ้ง

3.จับทุกการเคลื่อนไหวของเงินด้วยงบกระแสเงินสด


เงินสดเป็นเหมือนเส้นเลือดของกิจการ งบกระแสเงินสดจะเป็นตัวบอกว่าเงินไหลไปทางไหนบ้าง โดยงบกระแสเงินสดจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดจากการลงทุน และกระแสเงินจากการจัดหาเงิน

เวลาอ่านควรให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ควรมีค่าเป็นบวกและใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุน แสดงให้เห็นว่าบริษัทมี สภาพคล่องทำมาหากินแล้วมีเงินงอกจากการดำเนินงาน บริษัทสามารถนำเงินส่วนนี้สามารถนำไปลงทุน จ่ายดอกเบี้ย จ่ายเงินต้น และปันผลได้ ถ้าบริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมีค่าเป็นลบแสดงว่าเริ่มมีการขาดสภาพคล่อง แม้จะมีกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนก็ตาม

ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน (CFI) ควรมีค่าเป็นลบ แสดงถึงบริษัทมีการลงทุนขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบว่าลงทุนแล้วมีประสิทธิภาพให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ให้ดูที่ อัตราหมุนเวียนทรัพย์สิน และ ROA ควรมีค่าสม่ำเสมอ แสดงถึงเงินที่ลงทุนซื้อสินทรัพย์ไป สามารถสร้าง รายได้ และกำไรกลับมาให้ผู้ถือหุ้นได้

กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน (CFF) ควรมีค่าเป็นลบเช่นกัน เพราะแสดงว่าบริษัทเอาเงินไปจ่ายหนี้เงินต้น หรือจ่ายปันผล ในการวิเคราะห์ว่าบริษัทมีการจัดหาเงินเหมาะสมหรือไม่ ดูจากส่วนหนี้สิน และ ROE ควรมีค่าสม่ำเสมอ

ในส่วนของการจ่ายเงินปันผล ให้ดูอัตราจ่ายปันผลเทียบกับกำไรมั่นคงต่อเนื่อง ถ้าบริษัทกำลังโต ไม่ควรจ่ายมาก ควรเอากำไรบางส่วนไปสร้างการเติบธุรกิจ โดยทฤษฎี g (Sustainable Growth) = ROE x ( 1 – Dividend Payout Ratio) กิจการที่จ่ายปันผลมากแสดงว่าอุตสาหกรรมเริ่มอิ่มตัว การเติบโตเริ่มลด เอาเงินมาปันผลให้ผู้ถือหุ้นไปทำอย่างอื่นดีกว่า
งบกระแสเงินสดของ MINT
จากตัวอย่าง งบกระแสเงินสดของ MINT ที่น่าสนใจคือ งบ 6 เดือนแรก CFO ติดลบ ไปดูรายละเอียดเงินที่หายไป (ค่าลบ) มาจากเงินไปจมกับสินค้าคงเหลือ และเอาไปจ่ายเจ้าหนี้การค้า ทำให้สินค้าคงเหลือ และเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้นและลดลงตามลำดับ ผลกระทบที่เห็นในอัตราส่วนทางการเงินคือ จะเห็นระยะเวลาขายสินค้าเพิ่มขึ้น และระยะเวลาชำระเจ้าหนี้การค้าลดลงมาก

ถ้าบอกว่าตุนของเยอะเพราะได้ของราคาถูก จ่ายเจ้าหนี้เร็วได้ส่วนลดเยอะ แสดงว่างวดต่อไปควรจะเห็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ถ้าสินปีไม่ดีขึ้นเรามีปัญหากัน




4.วัดความสามารถในการดำเนินงานด้วยอัตราส่วน ROE และ ROA


ROE และ ROA เหมือนเป็นมิเตอร์วัดฝีมือในการบริหารจัดการของบริษัท โดย ROE และ ROA มีประเด็นที่ต้องวิเคราะห์ดังนี้

4.1 ROE


บริษัทที่ดีควรมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นทำกำไรกลับมาให้กับผู้ถือหุ้น ดังนั้นในเบื้องต้นจึงพิจารณาบริษัทที่ทำ ROE ได้สูงๆ (15-20%) ต่อเนื่อง ติดต่อกันหลายปี หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรมีแนวโน้มควรสูงขึ้นต่อเนื่อง ถ้าพิจารณาให้ลึกควรแยกองค์ประกอบดังนี้

ROE = NI /Total Equity
ROE = (NI/Sales) x (Sale/Total Asset) x (Total Asset/Total Equity)
ROE = (NI/Sales) x (Sale/Total Asset) x (1+D/E)

หรือแปลความง่ายๆคือ ความสามารถในการทำกำไร (อัตรากำไรสุทธิ NM) x ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ (AT) x ความเสี่ยง (Leverage = TA/TL = 1+D/E) เราควรเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรดีๆ และมีประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์สูงๆ เพราะอาจมีบริษัทที่มี ROE สูงๆ ย่อมเสี่ยงกว่าบริษัทที่มี ROE เท่ากันแต่หนี้ต่ำกว่า

4.2ROA


ROA บอกถึงความสามารถผู้บริหารว่าเก่งมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันหรือคล้ายกันยิ่งเห็นชัด บริษัทที่ดี ROA ควรมีค่า สูงและสม่ำเสมอ ( > 10%) นอกจากนั้นเพื่อการวิเคราะห์ให้ลึกมากขึ้น เราสมารถแยกองค์ประกอบของ ROA ออกได้ดังนี้

ROA = EBIT/Sales x Sale/TA

ตีความเหมือนกันแต่เปลี่ยนจาก NM (Net Margin) ใน ROE เป็น Operating Margin (OM = EBIT/Sales) ใน ROA ที่แยกสองข้อเพราะเมื่อกรองหุ้นบริษัทที่ NM สูงกว่า OM บอกว่ามีกำไรแปลกๆ เกิดขึ้น EBIT ที่ถูกต้องจะไม่รวม กำไรจากการขายสินทรัพย์ กำไรจากการขายเงินลงทุน กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนแบ่งกำไร หรือพวก one-time gain/loss นั่นเอง และการวัดด้วย EBIT หรือกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี หมายถึงการตัดเรื่องโครงสร้างทุนออกก่อน (โครงสร้างทุนวัดใน ROE แล้ว) ผู้บริหารคนไหนเก่งการบริหารการจัดการ โดยเฉพาะการตลาดจะวัดเทียบกันได้ หากเอาดอกเบี้ยที่เกิดจากการจัดโครงสร้างทุนมาวัดจะไม่เห็นฝีมือชัดเจน บางคนไม่เก่ง แต่ถ้าวัดแบบเก่า (NI/TA) ได้สูงกว่า แต่พอดูด้วย EBIT/TA กลับด้อยกว่า จากโครงสร้างเงินทุนที่ต่างกัน

อัตราส่วนทางการเงิน
จะเห็นว่า ROE ของ MINT ยังทรงๆได้อยู่ดูเหมือนดี แต่ถ้าเจาะไปที่ ROA จะเห็นว่าลดลงนิดหน่อย โดยส่วนที่ลดลงมาจากอัตราหมุนเวียนทรัพย์สินที่ลดลง แสดงว่าสินทรัพย์ที่ขยายๆกิจการไปสร้างรายได้กลับมาได้ลดลง และ EBIT margin สูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อโรงแรมในต่างประเทศ 800 ล้านบาท ถ้าจะวิเคราะห์ให้เห็นภาพจริงๆ ต้องเอากำไรพิเศษออก

ส่วนเรื่องหนี้สิน จะเห็นว่าบริษัทมีการกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นทำให้ อัตราส่วนหนี้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 1.32 ในปี 2556 เป็น 1.69 ในปี 2558

5.วัดความถูกแพงด้วยอัตราส่วน PE


อัตราส่วน PE หรืออัตราส่วน ราคาต่อกำไร ใช้วัดความถูกแพงของหุ้นในเชิงเปรียบเทียบ เหมือนการมองว่า กำไร 1 บาท ใช้เงินจ่ายซื้อเท่าไร ถ้าบริษัทเหมือนกันทุกประการหุ้นที่ PE ต่ำกว่าจะมีราคาหุ้นถูกว่าโดยเปรียบเทียบ

ค่า PE ที่เห็นใน factsheet เป็นค่าที่เรียกว่า trailing PE หรือ PE ปัจจุบัน การคำนวณมาจาก ราคาสิ้นวัน / กำไรย้อนหลัง 4 ไตรมาศ (1ปี) ในการวิเคราะห์ว่าตอนนี้ถูกหรือแพงไปอย่างไร สามารถแบ่งเป็นช่วงๆสูง กลางๆ และต่ำได้ดังนี้

หุ้นที่ PE สูงๆ เกิน 20 เท่าขึ้นไป แสดงว่าตลาดให้ความคาดหวังกับกำไรในอนาคตค่อนข้างเยอะ หน้าที่ของนักลงทุนคือต้องไปวิเคราะห์ว่าบริษัทยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่ ดูจากอุตสาหกรรมที่อยู่มีแนวโน้มอย่างไร กำลังเติบโต อิ่มตัว หรือถดถอย และไปตามข่าวว่าในอนาคตกำลังมีโครงการลงทุนอะไรที่ทำให้หุ้นเติบโตได้บ้าง

เมื่อซื้อแพงเพราะคาดหวังการเติบโตแล้วสิ่งที่ต้องระวังคือ การเติบโตที่เราหวังควรเป็นการเติบโตระยาวไม่ใช่กำไรพิเศษที่มาแค่ครั้งเดียว ต่อมาคือควรมองการเติบโตของ EPS หรือกำไรต่อหุ้นมากกว่ากำไรสุทธิ เพราะหลายบริษัทกำไรเติบโตต่อเนื่องแต่มีเพิ่มทุนทุกปีทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มสุดท้ายแล้ว กำไรสุทธิโตไม่ทัน EPS ที่เพิ่มทำให้ EPS ลดลง มูลค่าหุ้นลดลง และสุดท้ายที่ต้องระวังคือ อย่าหวังการเติบโตมากเกินไป บางคนมองบริษัทจะเติบโต 40% ก็ยอมซื้อแพง PE 50 เท่าก็ซื้อถ้ากำไรจริงๆโตไม่ทัน แทนที่จะได้กำไรก็อาจกลายเป็นขาดทุนแทนก็ได้

แต่ถ้า PE ต่ำมากๆ ก็ต้องระวัง กลุ่มแรกคือหุ้นที่มีกำไรพิเศษที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน เช่นกำไรจากการขายสินทรัพย์ กำไรจากการต่อรองราคาซื้อกิจการ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ต้องระวังกลุ่มต่อมาคือหุ้นวงจรก็ต้องระวังเพราะกำไรจะสูงมากในช่วงสูงสุดของรอบอุตสาหกรรม เมื่อกำไรสูงก็จะทำให้ค่า PE ต่ำลง การดูว่าอยู่ในช่วงสูงสุดหรือยังดูจากอัตรากำไรขั้นต้น ถ้าอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าปีอื่นๆ มากๆ มีแนวโน้มว่าจะเป็นช่วงสูงสุดของอุตสาหกรรม และกลุ่มที่ต้องระวังกลุ่มสุดท้ายคือบริษัทที่มีแนวโน้มกำไรลดลง ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขก็แสดงว่า PE ของบริษัทที่เรากำลังจะซื้อไม่แพงเกินไป ถ้าไปดูงบแล้วผลประกอบการดีกำไรพอใช้ได้ ถึงซื้อไปแล้วติดดอยก็ยังมีปันผลกินไม่อดตาย

ในการตัดสินใจลงทุน ในระยะยาวแล้วถ้าเราลงทุนในบริษัทที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มูลค่ากิจการจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามการเติบโตของกำไร แสดงว่าในระยะยาวแล้วผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาจะเท่ากับการเติบโตของบริษัท เราสามารถประยุกต์ใช้ PE ในการลงทุนได้ โดยอาจแบ่ง PE เป็นช่วง คือช่วงลงทุน กับจุดสูงสุดเราจะเล่นไม่เกินการเติบโต PEG ถ้าราคาหุ้นอยู่ในช่วงที่เราคิดไว้ก็สามารถซื้อลงทุนได้ไม่ถูกไม่แพง ราคาหุ้นตกมามากถึงจุดที่ทำให้ PE ต่ำกว่า PE ที่เราคาดหวังไว้ (ราคาลงแต่ E เท่าเดิมทำให้ PE ลด) ก็ซื้อเยอะหน่อยเพราะมันถูก และถือไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันดีคืนดี ตลาดเล่นราคาหุ้นกันจน PE อยู่สูงมากๆ เกิน PEG เยอะ แปลว่าราคาหุ้นค่อนข้างแพงเพราะกำไรเติบโตไม่ทันความคาดหวัง เราก็พิจารณาขายบางส่วนออกได้

Fact sheet เป็นสรุปข้อมูลที่ดีและฟรี ขอเพียงเราอ่านให้เป็น จะช่วยลดความเสี่ยงให้นักลงทุนได้ เพราะเราสามารถบอกได้ว่าบริษัทที่เราสนใจลงทุน ดีหรือไม่ดีอย่างไร ราคาถูกหรือแพงไปหรือไม่ ถ้าบริษัทที่เราสนใจเป็นบริษัทที่คุณภาพบริษัทดี ราคาไม่แพงเกินไปถือไปยาวๆ ไม่ขาดทุนแน่ครับ

ที่มา
ภัทรธร ช่อวิชิต, เจาะหุ้นร้อนสแกนหุ้นเด้ง, สำนักพิมพ์ thinkgood 2558
สรรพงศ์ ลิ้มธำรงกุล, แกะงบการเงินสไตล์ VI, สำนักพิมพ์ thinkgood 2557

=======================================

อ่านหนังสือมาเยอะแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก


รวม 3 หลักสูตร Online ในคอรสเดียว เรียนจบวิเคราะห์หุ้นได้ทุกตัวในตลาด


✅เเจาะงบราย sector + ประเมินมูลค่า + แกะงบทุกตัวในตลาด(ปีละครั้ง) และสรุปงบ ทุกไตรมาส
✅เรียนOnlineผ่านวิดิโอในfacebookกลุ่มปิด ความยาวกว่า 60 ชั่วโมง
✅ดูได้ตลอดชีพ ไม่มีลบคลิป และไลฟอัพเดทเนื้อหาให้ทันสมัยตลอดเวลา
✅สงสัยถามได้ตลอดเวลา

☀เรียนแล้วได้อะไร☀


✅ดูการ เกิดขึ้นตั้งอยู่และถดถอย ของธุรกิจผ่านงบการเงิน
✅แต่ละช่วงเศรษฐกิจ sector ไหนไป sector ไหนมา และเครื่องมือดูแบบ real time
✅การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มการเงิน คุณภาพลูกหนี้ดูตรงไหน
✅กลุ่มธุรกิจบริการ การเติบโต จุดคุ้มทุนดูอย่างไร
✅โรงแรม สื่อสาร ค้าปลีก
✅การวิเคราะห์ธุรกิจผลิต เทคนิคดูกำลังการผลิตของโรงงาน เมื่อไรจะต้องขยายโรงงานใหม่
✅ประสิทธิภาพโรงงานเป็นอย่างไร ใครดีใครด้อย เผยชัดๆ
✅การวิเคราะห์ธุรกิจ ซื้อมาขายไป สิ้นค้าค้างสต็อก เก็บเงินไม่ได้ดูอย่างไร
✅การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มรับเหมา
✅การวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ แบบไวๆ จะโอนได้เมื่อไร
✅การวิเคราะห์หุ้น วงจร รอบมา รอบไป สัญญาณในงบการเงิน
✅หุ้น turn around เจ้ากำลังแอบทำโปรเจกอะไรในงบการเงิน
✅การประมเนมูลค่าของแต่ละ sector ว่ามมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร

🔈สอนโดย อ ภัทรธร ช่อวิชิต
นักลงทุนอิสระ เจ้าของผลงานหนังสือ คุ้ยแคะแกะหุ้นเด้ง และเจาะหุ้นร้อนสแกนหุ้นเด้ง

=======================================
แคปรูปตรงนี้มาได้ส่วนลดพิเศษจากปกติ 5000 บาท เหลือเพียง 2,800 บาทเท่านั้น
☎ติดต่อสอบถามและลงทะเบียน (รับจำนวนจำกัด)
line id; pat4310

เพิ่มเพื่อน
=======================================

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปกลยุทธ์เติบโต mill & gel


นั่งอ่านดูดีลระหว่างgel และmill ทึ่งในวิธีคิดดีว่าคิดได้ไงต้อวบันทึกไว้หน่อย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว gel เคยเพิ่มทุน ได้ทรัพย์มาจำนวนหนึ่ง

เงินส่วนหนึ่งนำไปขยายโรงงานผลิตเสาเข็มและผนังสำเร็จรูป เงินเหลือนำไปลงทุนซื้อหุ้นmill แบ่งเป็นหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธ์(บันทึกในรายการเงินลงทุนเผื่อขาย) อีกส่วนไปซื้อบริษัทย่อยชื่อsuntechขายเศษเหล็กที่ผลประกอบการขาดทุน

ส่วนmilนำเงินไปซื้อtssiทำเหล็กลวดเกรดพิเศษที่เคยล้มละลายแล้วไปประมูลขายซากมา แล้วไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อปรับปรุ่งซากให้runได้

วันดีคืนดีนึกได้ว่าtssiที่ไปtakeมามีที่ดินเหลือก็เอาที่ดินข้างtssiไปขายให้gel ส่วนgelก็เอาsuntechมาขายให้mill

millได้กำไรจากการขายที่ ส่วน gelได้กำไรรวมเพิ่มขึ้นจากการขายบริษัทที่ขาดทุนออกไปไม่มาถ่วงงบ

การซื้อsuntech และ tssi ที่ให้millเป็นบริษัทเหล็กครบวงจร โดยsuntechรวบรวมเศษเหล็กไปหลอมเป็นเหล็กแท่งที่mill. และส่งไปทำลวดเหล็กเกรดพิเศษที่tssiซึ่งนำไปใช้ในชิ้นส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีมาร์จิ้นสูง

อีกส่วนไปทำลวดเหล็ดแรงตึงสูงที่บริษัทย่อยของgelที่ไปซื้อที่มาจากmillแล้วเอาลงดเหล็กแรงตึงสูงไปทำเสาเข็มที่gel

ส่วนtssiในไตรมาศ4เชาว่าจะมีรงเหล็กโกเบสตีลมาร่วมทุน

พอสรุปคร่าวๆให้ไปศึกษาต่อได้ประมาณนี้ครับผม เหมื่อนธุรกิจเพิ่งเริ่ม สู้ต่อไปgel. mill




วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

การวิเคราะห์เงินลงทุนในบริษัทย่อย/บริษัทร่วม


บริษัทที่ขยายกิจการหลายบริษัทมักขยายกิจการโดย ใส่เงินลงทุนไปร่วมทุนกับ partner ต่างๆ หรือบางครั้งก็เพื่อผลประโยชน์ทางภาษี เราจะเห็นรายการ เงินลงทุนในบริษัทย่อย/บริษัทร่วม ในงบแสดงฐานะการเงิน โดยมีแนวทางการวิเคราะห์ดังนี้

ตามมาตรฐานการบัญชีเรื่องเงินลงทุน ในกลุ่มนี้ถ้ากิจการมี อิทธิพลในการดำเนินงาน หรือบางครั้งใช้เกณฑ์หยาบๆ คือถือหุ้นตั้งแต่ 20% ขึ้นไป เงินลงทุนต้องแสดงด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ถ้าจะเข้าใจแบบหยาบๆ อย่างง่ายๆ คือ มูลค่าเงินลงทุนจะเพิ่มหรือลดตามกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนการลงทุน และยังลดลงได้ถ้ามีการจ่ายปันผลจ่าย

ถ้าเงินลงทุนเบื้องต้น (ราคาทุน) มูลค่า 34 ล้านบาทและมูลค่าเงินลงทุนปัจจุบันในงบดุลต่ำกว่า 34 ล้านบาท แปลว่าเงินลงทุนมูลค่าหดหายไป ซึ่งมูลค่าที่หายไปก็จะสัมพันธ์กับส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ลงทุนอยู่โดยลดตามส่วนของผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ลงทุนตามสัดส่วนที่ลงทุนอาจมาจากการจ่ายปันผลออกมาจำนวนมากจากกำไรสะสมซึ่งมากกว่ากำไรประจำปี มีผลขาดทุนสะสมจำนวนมาก หรืออาจลดทุนก็ได้เป็นต้นอย่างน้อยตัวเลขก็จะบอกเหตุบางอย่างให้เราทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องดูงบการเงินบริษัทลูกก็ได้

ในมาตรฐานการบัญชีใหม่ งบการเงินเฉพาะของบริษัท (แม่) เงินลงทุนให้แสดงด้วยราคาทุนเดิม (Cost Method) ส่วนงบการเงินรวม ( Consolidation) แสดงด้วยวิธีส่วนได้เสีย ทำให้การอ่านงบการเงินในวันนี้นั้นควรดูที่งบการเงินรวมเป็นหลัก หากบริษัทแม่ต้องการแสดงผลกำไรจากบริษัทลูกเข้ามารับรู้เป็นรายได้ บริษัทลูกต้องจ่ายเงินปันผลจากกำไรให้เร็วที่สุด ข้อดีคืองบเฉพาะนั้นจะแสดงรายการที่เกิดจริงเท่านั้น รายได้หรือกำไรที่บริษัทลูกสร้างขึ้น ถ้าเป็นรายได้หรือกำไรเทียมและไม่สามารถจ่ายเป็นเงินปันผลเข้ามาได้ก็จะไม่สามารถสร้างรายได้เทียมในงบเฉพาะได้ แต่ข้อด้อยคือกรณีที่บริษัทย่อยขาดทุนอย่างมาก จนไม่อาจดำรงอยู่รอดได้และส่วนทุนติดลบมาก ถ้าบริษัทแม่ไม่ปรับปรุงการด้อยค่าเงินลงทุนแล้ว ผู้ใช้งบการเงินอาจไม่ทราบอะไรเลยก็ได้ ปัญหานี้จะเกิดกับสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทที่มีการลงทุนในบริษัทย่อยหลายๆ บริษัท ผู้บริหารบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาก็ไม่ทำการลงบันทึกด้วยวิธี Equity อยู่แล้วทำให้การบริหารธุรกิจจึงมุ่งเน้นเรื่องภาษีเป็นหลัก แต่ขาดภาพรวมเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน เปรียบเหมือนการขับรถยนต์ที่มีกระจกรถเปรอะเปื้อนหรือขุ่นมัว

ข้อเด่นในการบันทึกด้วยวิธีราคาทุนเดิมในแง่ของบเดี่ยว (เฉพาะ) คือรายได้ที่จะรับรู้จากบริษัทลูกนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทลูกประกาศจ่ายเงินปันผลออกมาเท่านั้น ตราบใดที่ลูกมีกำไร ถ้าไม่จ่ายปันผลออกมารายได้ก็จะไม่เกิดขึ้นในบริษัทแม่ (เฉพาะ) และถ้าจ่ายเกินกว่ากำไรที่ทำได้ในช่วงที่ลงทุน เงินปันผลส่วนที่เกินนั้นจะนำมาลดเงินลงทุนลง หลักการนี้จึงมองกำไรในรูปเงินสดหรือสิทธิที่เกิดขึ้นที่เป็นเงินสดค่อนข้างแน่ มีความแน่นอนในกระแสเงินสดที่จะได้รับ อิงกับเกณฑ์ทางภาษีมากกว่าแบบเดิม (Equity Method) ที่มองถึงสิทธิในกำไรที่แม่มีส่วนแบ่ง มี control แม้จะไม่จ่ายปันผลก็ตาม ซึ่งด้วยหลักเกณฑ์ใหม่นี้ ทำให้การวิเคราะห์งบการเงิน หากต้องการมองภาพรวมหรือวิเคราะห์ฐานะและศักยภาพธุรกิจ ต้องมองที่งบการเงินรวมจึงจะวิเคราะห์ได้ชัดเจนกว่า ส่วนงบเดี่ยว (เฉพาะ) มองในด้านภาษีและกฎหมายเท่านั้น ในทาง strategic management และ value investment ไม่เกิดประโยชน์เท่าใดนัก

ที่มา https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10206108013517784

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

5แนวคิด Poker กับการลงทุนหุ้น


หลายคนชอบบอกว่าจะลงทุนให้ไปลองเล่น Poker เสาร์ที่ผ่านมาได้ลงคอร์ส Think & Psychology สอนโดย คุณ วิชรเมศของ efinschool ช่วงเช้ามีให้ลองเล่น poker ทำให้รู้ว่าที่เขาแนะนำให้เล่นบ่อยๆ เนื่องจากผู้เล่นจะได้ฝึก mindset เรื่องของการประเมินโอกาสและความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแต่ละตา จนซึมเข้าสมอง แต่ถ้าลงทุนในหุ้นกว่าจะจบรอบหุ้นบางทีเป็นปีๆ ไม่ได้ทำซ้ำ กว่า mindset จะได้ ก็เจ้งไปซะก่อน

1.หาไพ่ที่มีโอกาสชนะ


ตาแรกจะแจกไพ่ 2 ใบ เราต้อง ต้องดูพื้นฐานในมือว่าดีน่าเสี่ยงหรือไม่ ถ้ามีไพ่ แต้มสูงๆ หรือคู่ ก็น่าลุ้น ไม่คุ้มเสี่ยงก็หมอบไป เสียนิดหน่อย

หุ้นมีตั้ง500ตัว ตลาดเปิดทุกวัน โอกาสผ่านเข้ามือตลอดเวลาเราต้องพิจารณาว่าคุ้มเสี่ยงหรือไม่ ในทาง
พื้นฐาน หุ้นที่มีโอกาสชนะตลาดหลักๆ มี3เรื่องคือ

  • พื้นฐานดี งบสวย หุ้นที่งบสวยๆ อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต มีโอกาสที่อนาคตจะงบสวยกำไรโตต่อต่อ ถึงแม้ว่าจะซื้อแล้วติดดอยก็ยังมีปันผลกิน
  • มีตัวเร่งให้กำไรโต หุ้นที่โครงการให้กำไรเติบโตได้ ตลาดจะชอบ เป็นหุ้นที่มีโอกาสขึ้นสูง ถึงดอยวันนี้ก็ดอยชั่วคราว ยาวๆก็กลับมาพร้อมกำไร
  • หุ้นมูลค่าไม่แพง ซื้อแพงไปโอกาสเสียมากกว่าได้ ยิ่งซื้อถูกแต้มต่อยิ่งเยอะ เพิ่มโอกาสชนะให้สูงขึ้น
จะเห็นว่า ซื้อหุ้นดี มีโอกาสชนะสูง ยังไงก็กล้าจัดเต็ม


2.คิดถึงโอกาสและผลตอบแทนเสมอ


เมื่อไพ่กองกลางเปิดมาเรื่อยๆ โอกาสและผลตอบแทนจะเปลี่ยนไปตลอด การตัดสินใจทุกรอบต้องดูว่าเรามีโอกาสชนะแค่ไหน ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าคุ้มก็ต้องจัดเต็ม ไม่คุ้มก็หมอบ

ในความเป็นจริงพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นในการตัดสินใจว่า เราจะซื้อ ถือ หรือขาย ก็ต้องคอยดูพื้นฐานเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ทุก 3 เดือนช่วงงบการเงินออก ก็มาดูงบซักทีนึง ถ้าหุ้นที่เราเลือกยังมีพื้นฐานดี มีตัวเร่ง และราคายังไม่แพง มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้อยู่ก็ทนๆถือไป

3.บริหารหน้าตัก


ก่อนจะอยู่รวยในตลาดหุ้นได้ก็ต้องอยู่รอดให้ได้ก่อน แม้เราจะพลาดขาดทุนมาแต่ถ้ายังไม่หมดตัวมีเงินทุนเหลืออยู่ก็อยู่ในตลาดได้เรื่อยๆ ถ้ามีโอกาสดีมาและจัดเต็มได้ก็ฟื้นได้

การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นกัน ถ้าเราจัดพอร์ทให้เหมาะสมกับ ความเสี่ยง ผลตอบแทน จริต(ชอบเสี่ยงกลัวเสี่ยง) และจัดการหน้าสัดส่วนหุ้น เงินสด ดีๆ ระยะยาวก็จะได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

4.ทำสิ่งที่ถูกไปเรื่อยๆ


ทำตามระบบที่ชัดเจนมีเหตผลรองรับ ถ้าจัดการหน้าตักดีๆไม่over trade จนหลุดจากตลาดไปซะก่อนระยาวจะอยู่รอดและอยู่รวยในตลาดได้

ทางพื้นฐานก็แค่ซื้อหุ้นดี มีตัวเร่ง ราคาไม่แพง จัดสัดส่วนหุ้นดีๆ ถือทนๆจนราคาสะท้อนมูลค่า ยาวๆ รวยได้

5.จิตใจเข้มแข็ง


สติมาสตางค์เกิด สติเตลิดสตางค์หดหาย แม้ออกแบบระบบในข้อ 4 จะดี แต่บางทีคนข้างๆก็ทำให้หวั่นไหว เห็นเขาเกทับกันเราก็คันมืออยากจัดบ้าง แม้ไพ่ไม่ดีก็จะสู้ เริ่มขาดสติ สุดท้ายหมดตัวออกจากตลาดไป

ปัญหาคือนายตลาดมักจะแกล้งให้เราไข้วเขวบ่อยๆ เช่นซื้อไปแล้วหุ้นไม่ขึ้น หุ้นคนอื่นวิ่งกว่า อยากย้ายตัวไปเล่นน่าจะได้กำไรมากกว่า ไอ้ที่วิเคราะห์มาดีๆ อ่านงบ ดูตัวเร่ง ประเมินมูลค่าหายหมด ราคาตก3ช่อง cut lost ขายแม่ง ขายปุ้บเด้งใส่หน้า ไปไล่ราคาตามโดนทุบอีก

อาการแบบนี้ แนะให้ปิดจอและออกมาสงบสติอารมณ์นิสนุงแล้วเข้าไปใหม่ หรือถ้าระบบมันไม่ถูกจริตลงทุนแล้วเครียดลองเปลี่ยนแนวลงทุนที่เหมาะกับเราดู อ่านกราฟ system trade พื้นฐาน เอาที่สบายใจ

โดยสรุปเกมส์นี้เล่นบ่อยๆช่วยฝึกให้เราคิดวิเคราะห์วางแผนและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ นำมาประยุกต์ในตลาดก็อยู่รอดและอยู่รวยได้
ขอกำไรจงสถิตแด่ท่าน.

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

เพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่


เพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่

การเพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่ อาจจะมาในรูปของการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย หรือการซื้อกิจการที่ดำเนินการอยู่แล้วเข้ามา

การค้นหาหุ้นประเภทนี้ ให้ตามอ่านข่าวใน SET ทุกวันเดียวก็จะมีข่าวที่ห้วข้อประมาณ สาระสนเทศแสดงการซื้อสินทรัพย์ พร้อมเรียกประชุม เขาก็จะบอกว่า ซื้ออะไร ขนาดรายการเท่าไร ถ้าเป็นสินทรัพย์ที่มีขนานใหญ่มากๆ จะต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นถ้าเราสนใจก็สามารถ ซื้อไว้ 100 หุ้นเพื่อเข้าประชุมได้

เครื่องมือในการวิเคราะห์ที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงคือ รายงานปรึกษาการเงินอิสระที่เป็นเอกสารแนบในวันประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติเพิ่มทุน เนื้อหาค่อนข้างเยอะแต่เราไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวหนังสือก็ได้ สิ่งที่ต้องเน้นๆ คือ หัวข้อการประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ โดยที่ปรึกษาทางการเงินจะทำประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตมาให้ หน้าที่เราคือเข้าไปวิเคราะห์ความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน  โดยพิจารณาจากสมมติฐานที่ถูกนำมาใช้ในการประมาณการ เช่นสมมติฐานทางด้านรายได้ รายจ่าย เงินทุนหมุนเวียน และการลงทุน

เพื่อเพิ่มความมั่นใจในที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็เอาสมมติฐานพวกนี้แหละไปถามในที่ประชุม เพราะวันนั้นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระจะเข้าร่วมประชุมด้วย สงสัยอะไรก็ถามได้เลย

ผลกระทบต่อกำไร ถ้าเราไปลงทุนซื้อธุรกิจที่มีกำไรอยู่แล้ว ให้เราดูว่าบริษัทที่ซื้อมา มีกำไรเท่าไร แล้วจับคูณสัดส่วนการถือหุ้นจะได้กำไรของบริษัทที่เติบโต ถ้าอนาคตกำไรโตมากกว่าสัดส่วนของหุ้นที่เพิ่มก็สมควรที่จะใส่เงินเพิ่มได้

การดูว่าซื้อกิจการมาแล้วดีหรือไม่  ดูเทียบกับกลยุทธ์ขององค์กรด้วยว่าสอดคล้องกันหรือไม่ ถ้าจะไปซื้อกิจการเพื่อหวังว่าจะลดต้นทุน ผลในงบรวมก็ควรจะมีอัตรากำไรสูงขึ้น การมองผลของธุรกิจโดยรวมให้ดูที่ ROA ถ้าไปลงทุนแล้ว ROA ตกลงแปลว่าใช้เงินไปไม่คุ้มเพราะลงทุนแล้วได้ผลตตอบแทนที่ต่ำกว่าเดิม

ตัวอย่างหุ้นที่เพิ่มทุนมาทำธุรกิจใหม่เช่น
TCMC ไปซื้อโรงงานเฟอร์นิเจอที่อังกฤษ
ลักษณะการเข้าทำรายการ
ผลประกอบการของบริษัทที่เข้าซื้อ
ที่มา
http://www.set.or.th/dat/news/201505/15043469.pdf
http://www.set.or.th/dat/news/201505/15043471.pdf