แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทำธุรกิจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทำธุรกิจ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

7 เคล็ดลับต้องรู้ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ SMEs

การเป็นเจ้าของธุรกิจ SMEs ถือเป็นความใฝ่ฝันสำหรับหลายคน แต่จุดเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะทุกอย่างคุณต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ต้องคิดและตัดสินใจทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงาน และธุรกิจ 90% มักจะปิดตัวไปตั้งแต่ปีแรก และที่เหลือรอดถึงห้าปีมีเพียง 1% เท่านั้น แสดงว่าถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งคู่แข่งคุณคือ กลุ่ม เสือ สิงค์ กระทิง แรด 1% ที่สามารถรอดมาในสนามธุรกิจได้เท่านั้น การที่คุณเข้าไปในสนามการค้าคุณจะเป็น”ผู้ล่า” หรือ “ผู้ถูกล่า” การวางแผนและเตรียมความพร้อมธุรกิจตั้งแต่ก่อนลงสนามเป็นเรื่องสำคัญ โดยในการวางแผนธุรกิจประเด็นสำคัญที่ต้องคิดดังนี้


1. สินค้าหรือบริการของเราแก้ไขปัญหาอะไรของลูกค้า

คนส่วนใหญ่ถ้าคิดจะเริ่มธุรกิจคำถามแรกคือจะขายอะไรดี ส่วนใหญ่คำตอบที่ได้ก็จะคล้ายๆ มองไปรอบๆตัวคนก็กันหมดแล้ว จากนั้นเราก็ล้มความคิดกันไป แต่ถ้าเราไปมองในมุมมององลูกค้าจะเห็นว่า การซื้อสินค้าหรือบริการของคนเราเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นหมุนเวียนเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยทั้งวันคนเราจะทำอยู่สองอย่างคือ “วิ่งไล่หาความสุข” และ “วิ่งหนีความทุกข์”  สินค้าและบริการทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของลูกค้านี่เอง ดังนั้นการคิดว่าจะขายอะไรดีจึงเริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า

  1. สินค้าเราแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า
  2. มีตลาดที่ใหญ่เพียงพอให้เป็นธุรกิจได้หรือไม่

ถ้าสินค้าเราแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ และมีตลาดรองรับที่มากพอ ก็สามารถทำเป็นธุรกิจได้ไม่ยาก ตัวอย่างธุรกิจเช่น

  • หิว  ->  ร้านอาหาร
  • หิว แต่ไม่มีเวลา  ->  fast food, ข้าวกล่อง 7-11
  • ร้อน -> พัดลม แอร์ น้ำแข็ง เครื่องดื่มเย็นๆ
  • ง่วง แต่ไม่อยากนอน -> กาแฟกระป๋อง
  • น้ำมันแพง  -> ECO car, อุปกรณ์ประหยังพลังงาน
  • บริษัทไม่มีพนักงาน  -> ธุรกิจรับจัดหาแรงงาน

2. ธุรกิจเรามีจุดขายอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน

ธุรกิจเดี๋ยวนี้การแข่งขันสูง ยิ่ง SMEsที่ไม่มีจุดขายที่ชัดเจนโอกาสรอดยาก ดังนั้นธุรกิจเราต้องตอบให้ได้ว่าสินค้าของเรามีจุดขายอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านและลูกค้าต้องการ (Unique Selling Proposition :USP) จุดขายของเราก็คือคำสัญญาที่เราให้กับลูกค้าว่า มาซื้อสินค้าและบริการจากเราแล้วจะได้อะไรตัวอย่างจุดขายเช่น

  • ทุกอย่าง 20 บาท
  • ส่งถึงบ้านใน 30 นาที
  • หลับสบายแม้วันมามาก
  • ทะเลกรุงเทพ
  • สวยด้วยแพทย์
  • ลบริ้วรอยใน 7 วัน

  ส่วนใหญ่ของ USP จะประสบความสำเร็จและธุรกิจอยู่รอดได้ คือ ต้องเป็นสัญญาที่สามารถปฏิบัติได้ และระบุเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน? และมันจะ สร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทมากน้อยแค่ไหน?  ความยุ่งยากในการปฏิบัติเป็นอย่างไร? ปริมาณกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสัญญานี้เทียบกับสัดส่วนของลูกค้าทั้งหมดในกลุ่มเป็นอย่างไร?

3. สภาพการแข่งขันเป็นอย่างไร

ในการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ เราต้องรู้ว่า อุตสาหกรรมที่เรากำลังเข้าไปฟาดฟัน อยู่ช่วงไหนของการเติบโต โดยปกติจะมี 5 ขั้นคือ ช่วงเริ่มต้น ช่วงเติบโต ช่วงอิ่มตัว ช่วงถดถอย และช่วงตกต่ำดังภาพ


โดยในแต่ละช่วงของการเติบโต ปัจจัยที่กระทบกับการแข่งขันทั้ง 5 หรือ five force model มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง five force model และช่วงการเติบโต
ที่มา : สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล, "แกะงบการเงินสไตล์ VI", สํานักพิมพ์ think good, 2557

4. จะทำการขายและการตลาดอย่างไร

ในปัจจุบันสภาพการแข่งขันที่สูง การขายสินค้าเราต้องแบ่งกลุ่มชัดเจนว่าจะเจาะกลุ่มไหน สำหรับ SMEs การเจาะตลาด Mass เป็นเรื่องลำบากเพราะคู่แข่งจะเป็นบริษัทใหญ่ๆที่ดำเนินงานมานาน เงินทุนหนา ซึ่งเราสามารถเลือกเจาะกลุ่มเฉพาะที่มีปริมาณ และกำลังซื้อได้ หลายๆธุรกิจที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มก็ยังอยู่ได้อย่างรถก้างที่วิ่งในรางเคยฮิตมากๆเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วนึกว่าไม่มีคนเล่น แต่ปัจจุบันก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังรักและเล่นอยู่และเป็นตลาดที่ใหญ่ซะด้วย

ซึ่งธุรกิจแต่ละขั้นกลยุทธิการตลาดก็จะใช้แตกต่างกัน
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง กลยุทธการตลาด ผลประกอบการ ในแต่ละช่วงการเติบโต
ที่มา : สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล, "แกะงบการเงินสไตล์ VI", สํานักพิมพ์ think good, 2557

***เทคนิคการเขียนโฆษณาให้ลูกค้ายอมจ่ายเงิน***
หลายคนวางแผนมาดีแต่ไปตกม้าตายตอนนำเสนอขายลูกค้า ข้อผิดพลาดส่วนใหญ่จะชอบเขียนว่าสินค้าเรามีคุณสมบัติอะไรบ้าง แต่จริงๆแล้วในการเขียนโฆษณาที่ดีควรนำเสนอประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ว่าซื้อไปแล้วได้อะไร แล้วมีประโยคปิดการขายเท่ๆ เช่นซื้อวันนี้ลด 90% พรุ่งนี้ราคาเต็ม ลูกค้าเราจะตัดสินใจง่ายขึ้น



5. รูปแบบธุรกิจเป็นอย่างไร

ตอนนี้ทุกบริษัทเริ่มใกล้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ต้องขวดความคิดออกมาเป็นโมเดลธุรกิจที่ประกอบด้วยคำถาม 4 ข้อที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ คือ  ทำ(สินค้า)อะไร?  ทำอย่างไร?  ทำ(ขาย)ให้ใคร? และ  คุ้มค่าหรือไม่? Business Model Canvas เป็นเครื่องมือที่ลงรายละเอียดในแต่ละส่วนต่างๆ โดยจะแยกย่อยหัวข้อลงไปอีกเป็น 9 ส่วน ทำให้เราสามารถออกแบบและวางแผนธุรกิจได้ง่ายขึ้น

  • ทำ(สินค้า)อะไร?
    • คุณค่าที่นำเสนอ: Value Propositions
  • ทำ(ขาย)ให้ใคร?
    • กลุ่มลูกค้า Customer Segment
    • ช่องทางการเข้าถึง Channels
    • สายสัมพันธ์ลูกค้า Customer Relationship
  • ทำอย่างไร?
    • ทรัพยากรของบริษัทเราคืออะไร? Key Resource
    • งานหลักที่ทำคืออะไร? Key Activities
    • ใครคือคู่ค้าของเรา? Key Partners
  • คุ้มค่าหรือไม่?
    • วิธีการหารายได้ของเราเป็นอย่างไร? Revenue Streams
    • ค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจคืออะไร? Cost Structure

6. จะหาเงินทุนจากไหน

เมื่อแผนธุรกิจเราชัดเจน ใจจะสั่งมาว่าต้องทำ ความรู้สึกของการเป็นคนรวยจะเกิด การดิ้นรนหาเงินมาทำจะเกิดขึ้น โดยเงินลงทุนหลักๆจะประกอบด้วยสองส่วนคือเงินที่ใช้ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่นที่ดินอาคารและอุปกรณ์ต้องมีอะไรบ้าง และเงินทุนที่ใช้หมุนเวียน ที่ประกอบด้วยเงินที่ไปจมกับลูกหนี้การค้าถ้าเราขายเครดิต เงินที่จมไปกับสินค้าคงเหลือ และเงินที่ต้องเตรียมไว้จ่ายเจ้าหนี้การค้า
โดยแหล่งที่มาของเงินส่วนใหญ่จะมาจาก 2 ส่วนคือหนี้สิน กับส่วนของเจ้าของแต่ส่วนใหญ่ธุรกิจที่เพิ่งเปิดจะไม่ค่อยมีใครให้กู้ก็ต้องให้แหล่งที่มาของเงินจากส่วนของเจ้าของเป็นหลัก แรกๆอาจเงินขลุกขลักหน่อยแต่ให้พยายามเดินบัญชีให้ผ่านธนาคารไว้ 6 เดือนก็ไปขอวงเงินสินเชื่อได้ ธ.กรุงศรี( www.krungsri.com) ก็มีฝ่ายสินเชื่ออยู่

7. ถ้าเจ้งจะทำอย่างไร

ไม่ว่าแผนธุรกิจของเราจะดูดีเพียงไร เวลาทำจริงมักจะไม่ค่อยเป็นไปอย่างที่คิด ดังนั้นเราต้องคิดเผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดเอาไว้ว่าถ้าขายไม่ได้เลย รายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายมีเท่าไร จะหาเงินจากไหนมาจ่าย แล้วจะสู้ทนได้กี่เดือนถึงยอมแพ้และถ้าจะเลิกธุรกิจไปเลยจะทำอย่างไร จะกลับไปทำงานประจำได้หรือไม่


ตอบได้ 7 ข้อตามนี้แผนธุรกิจท่านจะชัดเจน เริ่มต้นไม่มั่วจะไปพูดระดมทุนจากเพื่อนก็เอออนห่อหมกให้เงินทุนมาทำ เหลือแค่ทำตามฝันและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่คาดคิดให้ได้ สู้ต่อไปทาเคชิ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หน้าที่ CEO ต้องทำอะไรบ้าง

เป็นนักลงทุน หัวใจหนึงคือดูผู้บริหาร บริษัทไหนผู้บริหารเก่งๆก็ไปไกล มาดูหน้าที่ CEO ต้องทำอะไรบ้างว่าวุ่นวายและมีเรื่องให้ติดสินใจเยอะขนาดไหน
1. ผู้ถือหุ้นจ้างมาบริหารงาน = วางแผน ควบคุม ติดตาม xxxx ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อตอบสนองความต้องการของ yyyyy
2. เป้าหมายของธุรกิจคือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยวุ่นวายกับคน 4 คน ลูกค้า ลูกจ้าง ผู้จัดส่งวัตถุดิบ และผู้ถือหุ้นแต่ละคนก็มีความต้องการต่างกัน
2.1 ลูกค้าต้องการซื้อสินค้าเพราะต้องการสินค้ามาตอบสนองความต้องการ CEO ต้องใช้หลัก 7R
ได้ผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ (Right product & Right customer)
ตามปริมาณที่ลูกค้าสั่งซื้อ (Right quantity)
ถือเอาคุณภาพที่ตกลง (Right condition)
ส่งตามที่นัดหมาย (Right place)
ได้ตามเวลาที่กำหนด (Right time)
อยู่ในปริบทที่คุ้มต้นทุน (Right cost)
2.2 ลูกจ้างต้องการ งานดี มั่นคง รายได้พอกิน สภาพแวดล้อมดี ฯลฯ CEO ต้องใช้พระเดชพระคุณจัดการ
2.3 ผู้จัดส่งวัตถุดิบ ส่งของบ้างไม่ส่งบ้าง ส่งช้าก็มี บางทีของไม่ครบ เสป๊กไม่ได้ ฯลฯ
2.4 ผู้ถือหุ้น ต้องการกำไรเติบโตสม่ำเสมอ ปันผลทุกปี
3 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายธุรกิจผู้บริหารต้องดู 3 เรื่อง จัดการดีมูลค่าจะเพิ่ม
3.1 การทำกำไร (make profit)
3.2 การสร้างเงินสด (generate cash flow) หมุนเงินให้ทัน สินทรัพย์ต้องสร้างรายได้
3.3 สามารถอยู่รอดได้ (SolvencyStay Solvency) ในที่นี้คือต้องมีระดับหนี้สินต่อทุนที่เหมาะสม และ มีความสามารถในการจ่ายภาระหนี้ได้
4.เป็นผู้กำหนดทิศทางของบริษัทว่าจะไปทางไหน กำหนดกลยุทธ์องค์กร
สรุปเป็นลูกจ้างสบายสุด 5555

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปัญหาในการคำนวณต้นทุนผิดพลาด

วิดิโอเรื่องการคำนวณต้นทุนจาก อ.มานพสีเหลือง เรื่องปัญหาในการบันทึกต้นทุน เหมาะกับธุรกิจผลิตครับ โดยต้นทุนประกอบด้วย 3 ส่วนคือ



  1. วัถุดิบทางตรง
  2. แรงงานทางตรง
  3. โสหุ้ยต่าง
เชิญรับชมโดยพลัน


วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ค่า Taxi ความผิดพลาดของกลไกราคา

คุณ Deer Freedom ได้โพสลง facebook [1]เกี่ยวกับค่าโดยสาร Taxi ว่า "จากถนนพระราม 4 มาท่าเรือสะพานตากสิน

  • นั่งมอไซร์เสีย 60 บาท
  • นั่ง Taxi เสีย 45 บาท

ความผิดพลาดของกลไกราคา จากแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์ น่าจะเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ

  1. ค่ามอไซร์แพงเกินไป
  2. ค่า Taxi ถูกเกินไป

แต่ถ้าประเมินสภาพแวดล้อมผมว่า ค่า Taxi บ้านเราถูกเกินไป เพราะสังเกตุได้จาก Taxi เลือกที่จะยอมรถว่างเพื่อปฏิเสธรับคนไทย แสดงว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสส่วนเพิ่มมีมากกว่ากำไรส่วนเพิ่ม ในการรับคนไทย"

ผมมองว่าเรื่องค่า Taxi ที่ถูกเกินไปหรือไม่นั้นต้องดูว่าราคานี้ win-win ทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า คนขับก็ต้องได้กำไร คนนั่งก็ต้องคุ้มค่าเงินที่เสียไป

มุมมองฝั่งคนขับ


ผมว่าที่เขาทำราคานี้ได้เกิดจาก การใช้ asset turnover ของรถที่สูงมาก สมมติรถ 1 คนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 40,000 บาท(ค่าผ่อน ค่าแกส ล้างรถ) คิดต่อวันที่ 1333 บาท แต่รถเขาวิ่ง 24 ชั่วโมง (2 กะ) สร้างรายได้วันละ 2-3 พันบาทก็พอมีกำไรเลี้ยงลูก เมีย

ในแต่ละวันคนขับ taxi จะพยายามแสวงหากำไรสูงสุดภายใต้ข้อจำกัด จากข้อกฎหมายที่มาควบคุมราคา ทั้งการเลือกรับลูกค้าที่ให้กำไรต่อหน่วยสูงกว่าอย่างเช่นลูกค้าชาวต่างชาติ ที่อาจได้ทิปพิเศษ รายได้จากการพาลูกค้าไปแหล่งท่องเที่ยวทั้งอาบอบนวด ร้านเพชร ฯลฯ นี่ยังไม่รวมการลดต้นทุนต่างๆ เช่นใช้ gas ngv ที่ประหยัดว่าการใช้น้ำมัน

ในขณะที่วินมอเตอร์ไซต์ ราคาขึ้นกับความพึงพอใจของคนขับกับลูกค้า


มุมมองฝั่งลูกค้า

การนั่ง Taxi เหมือนซื้อรถพร้อมจ้างคนขับส่วนตัวสมมมติให้ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถตกเดือนละ 10000 บาท ค่าจ้างคนขับเดือนละ 15000 รวมค่าใช้จ่าย 25000 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อวันที่ 833 บาท

ถ้าค่าใช้จ่ายการนั่ง Taxi ต่อวันที่ 400 บาท(ไป 200 กลับ 200) การนั่ง Taxi จะได้กำไรวันละ 433 บาท เดือนละ 12990 บาท ปีละ155880 เอาตังค์มาลงหุ้นได้สบาย

นอกจากนั้นระหว่างรถติดๆ แค่มี 3G แรงๆเราสามารถใช้เวลาไปวิเคราะห์หุ้นได้อีกอาจได้กำไรเป็นเท่าตัว

ดูแล้วการนั่ง Taxi ก็ win-win ทั้งคู่แต่ผมมองว่าคนขับ วินมอร์เตอร์ไซต์ได้กำไรเยอะกว่าเหนื่อยน้อยกว่าด้วย นั่งๆนอนๆรอลูกค้า แต่ Taxi ต้องขับวันไปเรื่อยๆ

[1]https://www.facebook.com/DeerFreeDom/posts/3857279647117

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

IDEA ธุรกิจจากความเบื่อ

IDEA ธุรกิจ 1,000 ล้านหลายๆอันก็มาจากความเบื่อนี่แหละ

ไปฟังธรรมะมาได้ความรู้ว่าความเบื่อมีสองแบบ

  1. เบื่อเพราะ "โทสะ" จะมีเป็นคู่ อันนี้ไม่ดี อันนั้นดีกว่า เช่นเบื่องาน เบื่อเมีย เบื่อคน ฯลฯ
  2. เบื่อเพราะ เห็นสภาวะรูปนามความความเป็นจริง ว่ามันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับ ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น

เบื่อแบบที่สองไม่สามารถสร้างธุรกิจได้เพราะ ใกล้นิพพานไปละ ความทุกข์มีอยู่แต่เข้าไม่ถึงใจ แต่ความเบื่อแบบที่หนึ่งคนที่ไปมีกันทุกคน เมื่อความทุกข์เข้ามาถึงใจ เกิดปรุงแต่งเป็นอารมณ์ไม่พอใจอยากหนีให้พ้นๆ เช่นนั่งรถเมล์แต่ไม่เท่านั่งนานๆก็เบื่อ ใจก็ดิ้นๆอยากซื้อรถ พอมีรถก็เบื่อรถแบบเดิมๆ ก็ไปแต่งรถ แต่งจนเต็มที่ ก็เริ่มเบื่ออยากไปหารถคันใหม่ ไม่มีที่สิ้นสุด

เจ้าของบริษัทเขาก็รู้เรื่องนี้ก็พยายามทำให้คนเบื่อบ่อยๆ รถยนต์ก็อย่าให้มันดีมาก แบ่งซอยๆเป็นหลายๆ รุ่น รุ่นสวยๆก็แพงหน่อย รุ่นถูกๆ ก็ออกแบบให้มันดูโลๆ เข้าไว้ ปีสองปีก็ออกรุ่นใหม่ ยั่วน้ำลายเราเล่น

หัวใจสำคัญคืออย่าให้ลูกค้าเรามี "สติ" ยั่วกิเลศเข้าไว้ถ้ามีสติเห็นความจริงบ่อยๆ จะกลายเป็นเบื่อประเภทที่สอง แล้วจะขายของไม่ได้

ทุนนิยมช่างโหดร้าย

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลัก 10 ประการในการสร้างตัวเองให้ประสบความสำเร็จของ Sam Walton เจ้าของ Walmart

นี่ก็คือ “หลัก 10 ประการในการสร้างตัวเองให้ประสบความสำเร็จ” ของ Sam Walton ที่เค้าใช้สร้าง Walmart จนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

  1. ต้องทำธุรกิจของตัวเองอย่างเต็มที่ มีความกระหายในธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจัง
  2. ถ้ามีกำไรต้องแบ่งให้พนักงานทั้งหลาย ของทำให้เค้ารู้สึกเหมือนเป็นพาร์ทเนอร์
  3. ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อพาร์ทเนอร์ในเรื่องเรื่องผลกำไรและผลตอบแทน
  4. ต้องแบ่งปันความคิดเห็นทั้งหมดกับพาร์ทเนอร์เท่าที่เป็นไปได้
  5. ต้องเคารพงานธุรกิจทั้งหมดที่พาร์ทเนอร์ทำ
  6. ฉลองให้กับความสำเร็จของตัวเอง เมื่อล้มเหลวก็ต้องยิ้มรับ
  7. ต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ ในบริษัท
  8. ต้องบริการเหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้า
  9. ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้มากกว่าคู่แข่ง
  10.  ต้องเปลี่ยนทัศนคติ

มันเยี่ยมจริงๆ

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลงทุนทำธุรกิจเอง กับลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างกันอย่างไร

โดยส่วนตัวผมชอบทำธุรกิจครับ หลังจากทำงานเป็นลูกจ้าง ได้เงินมาแล้วเปรี้ยวออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังจากลองผิดลองถูกมาเยอะส่วนใหญ่จะเจ้งครับเพราะไม่มีฝีมือบริหารธุรกิจให้ได้กำไร ก็มาลงตัวที่ให้เงินทำงานผ่านตลาดหุ้น (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) เพราะทำให้ผมสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจที่ชาตินี้ไม่คิดจะทำได้เช่น เปิดร้าน 7-11 เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า เจ้าของโรงพญาบาล ร้านอาหาร นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มาดูกันว่าตลาดหุ้นช่วยให้เราเป็นเจ้าของกิจการแบบนี้ได้อย่างไร

ก่อนเข้าตลาดเจ้าของเดิมเริ่มต้นทำธุรกิจ


กระบวนการทำงานของทุน


  1. เจ้าของมีเงินเก็บเป็นทุน (ส่วนของผู้ถือหุ้น) ก้อนหนึง ถ้าไม่พอก็กู้มาเพิ่ม ภาษาการเงินจะเรียกส่วนของผู้ถือหุ้น และ หนี้สิน ว่า แหล่งที่มาของเงินทุน(Source of fund)
  2. ต่อมาก็เอาแหล่งที่มาของเงินทุน(Source of fund) เงินไปซื้อสินทรัพย์ (Asset) ภาษาการเงินว่าแหล่งที่ใช้ไปของเงินทุน(Used of Fund) ถ้าจะเปิดร้านกาแฟก็หมดเงินไปกับการแต่งร้าน ซื้อเครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟ นม น้ำแข็ง
  3. พอของครบก็เปิดร้านได้แล้วมีคนมาซื้อลูกค้าได้สินทรัพย์ของเราไป(กาแฟ) เขาก็ให้เงินมาแลกเปลี่ยนเงินส่วนนี้เรียกว่ายอดขาย เงินมาก็เอาไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับปัจจัยการผลิตที่เราไปยืมเขามา คนงานก็จ่ายค่าแรง เจ้าของที่ก็จ่ายค่าเช่า จ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ ฯลฯ
  4. ถ้าหักค่าใช้จ่ายในข้อ 3 แล้วเหลือ เขาเรียกว่ากำไรซึ่งจะวนกลับไปส่วนของผู้ถือหุ้นให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ สามารถนำเงินไปลงทุนเพิ่ม หรือคืนหนี้ได้ เงินที่เหลือก็ออกมาเป็นเงินปันผลให้กินได้ใช้ ถ้ากิจการมีความสามารถในการแข่งขันธุรกิจไปได้เรื่อยๆ ก็เหมือนเป็นเครื่องจักรเงินสดให้เราได้กินตลอดไปยัน ลูกหลาน

สรุปง่ายๆ หัวใจของการลงทุนเพราะต้องการกำไรทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง 

เมื่อธุรกิจเติบโตและต้องการใช้เงินก็นำบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์(ตลาดทุน) เป็นตลาดที่ทำให้คนมีทุน กับคนต้องการใช้ทุนมาเจอกัน ซับซ้อนขึ้นอีกนิดแต่ไม่เกินความสามารถในการเข้าใจของท่านแน่นอน
กลไกการทำงานของทุนในตลาดหลักทรัพย์
จากภาพบริษัทก็ทำงานค้าขายกันตามปกติจนวันหนึงร้านกาแฟที่นั่งทำมาอยากขยายกิจการเช่นอยากเปิดสาขาเพิ่ม อยากขยายโรงงาน ฯลฯ แต่เงินทุนมีไม่พอ หนี้ก็เยอะแล้วเหลือทากเดียวคือต้องเพิ่มทุน แต่ก็ไม่มีทุนอีกก็ต้องหานักลงทุนมาร่วมลงทุน โดยการนำบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนในครั้งแรก (IPO) คนที่ซื้อหุ้นก็ได้เป็นเจ้าของบริษัทและมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ส่วนบริษัทก็ได้เงินมาลงทุนขยายกิจการ ไปชำระหนี้ ไปเป็นทุนหมุนเวียน ฯลฯ

สำหรับหุ้นที่เรานั่งๆ เทรดกันอยู่ เขาเรียกว่าตลาดรอง คิดภาพง่ายๆ เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี คนที่นั่งอยู่ (ถือหุ้น) ถ้าธุรกิจดีก็มีสิทธ์ได้ัรับเงินปันผล คนที่ไม่ได้นั่งก็ได้แต่มองเพราะเก้าอีมีจำกัด  ถ้าอยากนั่งเก้าอี้ก็ต้องไปเจรจากับคนที่นั่งอยู่ถ้าเขายอมขายเราก็จ่ายเงิน และไปนั่งแทน ราคาที่ตกลงกันก็เรียกว่าราคาตลาด (Market price) ถ้ากิจการเติบโตเรื่อยๆปันผลก็โตขึ้นเรื่อยๆ คนที่นั่งอยู่ก็คงไม่ขายราคาเดิมแน่นอนต้องขายในราคที่สูงขึ้นราคาหุ้นก็ ขึ้น แต่ถ้ากิจการเลวร้ายผลประกอบการตกต่ำคนที่นั่งอยู่ถ้าขายราคาเดิมก็ขายไม่ ออกก็ต้องลดราคาลงราคาหุ้นก็ตก ส่วนต่างระหว่างการเข้ามานั่งกับตอนที่ออกไปก็คือ capital gain /loss ตรงนี้เงินไม่เข้าบริษัทเพราะเป็นการตกลงกันเอง

ดัง นั้นสรุปลงทุนในหุ้นก็เหมือนทำธุรกิจเองโดยผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนอยู่สองอย่าง ก็คือ เงินปันผล และ โอกาสได้กำไรหรือขาดทุนจากการขายหลักทรัพย์ สำหรับผมข้อดีคือได้เป็นเจ้าของกิจการดีๆ ตามกำลังทรัพย์ที่เรามีครับ 1000 เดี่ยวก็ซื้อได้และผลตอบแทนก็ยังดีกว่าฝากธนาคารเยอะ


แล้วเปิดบริษัทเองหรือลงทุนในหุ้นดีกว่ากัน

ในโลกทุนนิยมเราต้องรวยด้วยคนอื่นครับมาดูกันว่าอันไหน work กว่า
1 การจัดหาทุน ใช้เงินตัวเองส่วนหนึ่ง เงินคนอื่น (หนี้) ส่วนหนึ่ง

  • ทำธุรกิจเอง ทุนน้อย แหล่งเงินกู้ถูกๆ ไม่มีบางคนกู้สินเชื้อบุคคล  28% ต่อปี เงินกู้น้อกระบบ ทำให้ต้นทุนของเงินทุนสูง
  • ซื้อหุ้น บริษัทเขาทุนเยอะ ทำมานานทำให้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยถูก MLR แค่ 7% ต่อปี ออกตราสารหนี้ก็ได้ ทำให้ต้นทุนของเงินทุนต่ำกว่ามาก

2 นำเงินทุนไปซื้อสินทรัพย์และนำไปสร้างรายได้ มูลค่าของสินค้าก็ถูกกำหนดโดยคนอื่น (ราคาตลาด) เมื่อเอาทรัพยากรคนอื่นมาก็จ่ายผลตอบแทนไปเช่นค่าแรง ค่าเช่า ดอกเบี้ย

  • ทำธุรกิจเอง ถ้าทำธุรกิจทั่วๆไปร้านเล็ก สามารถสร้างรายได้ได้น้อย บางทีไม่คุ้มค่าแรง ค่าเช่า และดอกเบี้ยเงินกู้
  • ซื้อหุ้น ทุนเยอะก็ลงทุนได้เยอะ ต้นทุนหลายๆตัวก็ถัวๆกันไป ก็ยังมีกำไร

3 ถ้าหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือเป็นกำไรทำให้ความมั่งคั่งของเราเพิ่มขึ้น
4 ทำซ้ำข้อ 1-3 ถ้าได้กำไรความมั่งคั่งคุณจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

จะเห็นว่าบริษัทใหญ่ๆได้เปรียบบริษ้ทเล็กๆ เกือบทุกประตู แต่ถ้าคุณทำธุรกิจเองได้กำไรคุณเห็นเงินเป็นกอบเป็นกำครับเพราะเรากินคนเดียว แต่ลงทุนหุ้นถ้าหุ้นดีๆ ที่คนรู้จักเยอะๆ แล้วคุณต้องซื้อราคาที่แพงขึ้นทำให้ผลตอบแทนที่กลับมาหาเราต่ำลงครับ

ป.ล. จงสะสมความมั่งคั่งแต่พอดีเพราะตายไปก็เอาความมั่งคั่งที่สะสมไปด้วยไม่ได้

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การทำบัญชีด้วย excel

การทำบัญชีปกติจะบันทึกด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปครับ แต่รู้วิธีการบันทึกแบบ manual ก็เป็นเรื่องดีให้รู้ที่มา มาดูกันว่าเขาบันทึกบัญชีกันอย่างไร กว่าจะมาเป็นงบการเงินให้นักลงทุนตาดำๆอย่างเราได้อ่านกันมันลำบากอย่างไร

แนวคิดการบันทึกบัญชี

แนวคิดทางบัญชีปัจจุบันนำเสนองบการเงินบนแนวคิด Balance Sheet Approach นั่นคือถ้ามูลค่าหรือการวัดมูลค่างบดุลถูกต้อง งบกำไรขาดทุนก็จะถูกต้อง โดยการรับรู้กำไรขาดทุนระหว่างงวดเป็นไปตามทฤษฎีการรักษาระดับทุน (Capital Maintenance) แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับการวิเคราะห์งบการเงิน เพราะในเบื้องต้นนั้นงบการเงินที่จะนำเข้ามาใช้ในการวิเคราะห์ควรต้องน่าเชื่อก่อน นั่นคือต้องผ่านการตรวจสอบหรือผู้ใช้งบการเงินเชื่อมั่นระดับหนึ่งว่า งบการเงินได้มีการจัดเตรียมและนำเสนออย่างถูกต้องตามควรถ้างบนำเสนอไม่ถูกต้อง ผลการวิเคราะห์ก็ไม่ถูกต้อง
เมื่อแนวคิดทางบัญชีนำเสนอบนหลักของ Balance Sheet Approach การอ่านงบดุลจึงให้มุมมองในอีกมิติ ที่งบกำไรขาดทุนไม่สามารถชี้ภาพของธุรกิจได้ทั้งหมด

เดบิต เครดิตคืออะไร

ข้อสังเกต เดบิตและเครดิตทางบัญชีอาจจะอธิบายได้ยาก บางคนอาจสรุปง่ายๆ ว่า คือ ซ้ายกับขวา ซ้ายเป็นด้านสินทรัพย์และค่าใช้จ่าย ขวาเป็นการบันทึกด้านหนี้ ทุน รายได้ เท่านี้หรือ ไม่ได้ต่อยอดความรู้อะไรเพิ่มขึ้นและเชื่อมโยงกับนิยามตามแม่บทการบัญชีและหลักทางการเงินไม่ได้เลย แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่มามองว่า เดบิตและเครดิต คือ ด้านการบันทึกแหล่งที่ใช้ไปของทุนและที่ได้มาของทุน เราจะเห็นภาพเชื่อมโยงทั้งหมดระหว่างบัญชีและการเงิน แม้แต่นิยามสินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายได้ ค่าใช้จ่าย ตามแม่บทการบัญชีก็สอดคล้องด้วยเช่นกัน
เดบิต เครดิต คืออะไร

  • เดบิต = เครดิต
  • ที่ใช้ไปของเงิน (used of fund) = ที่มาของเงิน (source of fund)
  • สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
  • สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน + กำไรสะสม
  • สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน + รายได้ - รายจ่าย
  • สินทรัพย์ + รายจ่าย = หนี้สิน + ทุน + รายได้


การวิเคราะห์รายการค้า 

ทุกรายการการค้าที่เกิดขึ้น มันมีที่มาที่ไปครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ รูปนี้ทำให้ช่วยบันทึกบันชีง่ายขึ้นครับ รายการค้าโดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับ 5 กลุ่มคือ สินทรัพย์ หนี้สินทุน รายได้  และ รายจ่าย การบันทึกบัญชีเขามองเป็นหลักบัญชีคู่คือ ทุกรายการค้าต้องมีที่มากับที่ไป เวลาลงบัญชี เราจำแค่สูตรเพิ่มก็พอครับถ้ารายการไหนลดลงก็ลงบัญชีสลับกัน ลองดูตัวอย่างแล้วจะเข้าใจ
การบันทึกบัญชีสูตรเพิ่มขึ้น

ขายของได้เงินสดมา 1000 บาท จะลงรายการทางบัญชีอย่างไร การขายของได้ เงินสด เมื่อได้เงินสด ก็สินทรัพย์เพิ่มเพราะฉะนั้น "เดบิต เงินสด 1000 บาท" สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมาจากรายได้เพิ่ม อีกด้านหนึ่งต้องเครดิต 1000 บาท

  • เดบิต เงินสด                  1000    (สินทรัพย์เพิ่ม)
    • เครดิต ขายสินค้า 1000    (รายได้เพิ่ม)


นำเงินไปฝากธนาคาร 1000 บาท ตอนนี้เงินออก 1000 บาท (สินทรัพย์ลด) เพราะฉะนั้น ต้องเครดิต เงินสด 1000 บาท อีกด้านหนึ่งก็จะต้องเป็นเดบิต โดยเอาเงินไปให้ธนาคาร (สินทรัพย์เพิ่ม) เพราะฉะนั้น ก็จะเดบิตธนาคาร 1000 บาท รูปบัญชีก็จะเป็น


  •  เดบิต เงินฝากธนาคาร 1000           (สินทรัพย์เพิ่ม)
    • เครดิต เงินสด     1000             (สินทรัพย์ลด)


ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ 1000 บาท จะเห็นได้ว่าไม่ได้เงินสด แต่ได้ลูกหนี้ เพราะฉะนั้น จะต้อง เดบิต ลูกหนี้การค้า(สินทรัพย์เพิ่ม) และเครดิต ขายสินค้า (รายได้เพิ่ม)

  • เดบิต ลูกหนี้การค้า                    1000 (สินทรัพย์เพิ่ม)
    • เครดิต เครดิตขายสินค้า  1000 (รายได้เพิ่ม)

ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ 1000 บาท เป็นรายการประเภท "เจ้าหนี้" เพราะฉะนั้น ก็จะลงรายการเป็น "เครดิต เจ้าหนี้การค้า"(หนี้เพิ่ม) อีกด้านหนึ่งก็จะเป็น "เดบิต ซื้อสินค้า" (สินทรัพย์เพิ่ม)

ขายสินค้าราคา 1000 บาทมีภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (เท่ากับ 70 บาท) ทั้งหมดลูกค้าจ่ายเป็นเงินสด ข้อนี้จะมีรายการมากขึ้น ต้องมาวิเคราะห์ให้ดีครับว่าได้อะไรบ้าง อย่างแรก ได้เงินสดแน่นอน 1000 บาท (สินทรัพย์เพิ่ม) และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าอีก 70 บาท ภาษีคุณได้รับมา เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเดบิต ภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 70 บาท (รายจ่ายเพิ่ม) ส่วนเหลือก็จะเครดิตรายการขาย 1070 บาท (รายได้เพิ่ม)

นี่คงเป็นหลักการง่ายๆ ที่พอจะทำให้เข้าใจได้ว่าเมื่อมีรายการค้าเกิดขึ้นเราจะเดบิตเครดิตรายการอย่างไร จากนั้นนักบัญชีจะนำไปจัดทำเป็นรายงานทางการเงินครับ
ภาพแสดงการจัดทำรายงานทางการเงินของนักบัญช่ี

ต่อไปมาดูวิธีการบันทึกบัญชี และปิดงบใน excel บรรยายโดย อ.มานพ สีเหลือง ครับ

จัดทำสมุดรายวันทั่วไป

 

จากนั้นก็นำข้อมูลจากสมุดรายวันทั่วไป มาจัดทำบัญชีแยกประเภททั่วไป



สรุปข้อมูลมาเป็นงบกำไรขาดทุน และงบแสดงฐานะการเงิน(งบดุล)

ความสัมพันธ์ระห่วางงบกำไรขาดทุน และงบแสดงฐานะการเงิน(งบดุล)

งบกำไรขาดทุน
งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล)

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เครื่องมือวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรม

ในการลงทุนในการพิจารณาเรื่องสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญครับ แต่ใครยังงง ไม่รู้ริ่มตรงไหน บทความของ อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล[1] ได้เสนอเครื่องมือในเป็นแนวทางการวิเคราะห์  ประกอบด้วย

  • ลักษณะตลาด
  • 5 Forces model
  • LEPEST

ไว้เป็น Check lists ได้เพื่อไม่ตกหล่นประเด็นสำคัญครับได้ประเด็นมาเยอะแยะฟุ้งไปหมดฟุ้งซ่าน แต่สำหรับการใช้งานจริงที่วิเคราะห์กันยืดยาวให้คัดมาเหลือแค่ปัจจัยสำคัญไม่เกิน 10 ก็พอครับ เชิญอ่านบทความโดยพลัน เพิ่มภาพประกอบความเข้าใจอีกนิดหน่อย

ในการลงทุน นอกจากการวิเคราะห์งบการเงินของแต่ละบริษัทแล้ว การพิจารณาภาพรวมของอุตสาหกรรมก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง แม้บริษัทจะมีผลประกอบการดูดีเท่าไรก็ตาม หากอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจอยู่นั้นกำลังดำเนินเข้าสู่วัฏจักรเป็น Sunset แล้ว บริษัทนั้นก็ไม่สามารถได้ประโยชน์ต่อเนื่องในระยะยาวได้ ดังนั้นการเลือกลงทุนนอกจากเลือกถูกบริษัท ต้องเลือกถูกอุตสาหกรรมด้วย จึงจะได้ประโยชน์จากการลงทุน ในการวิเคราะห์อุตสาหกรรมนั้นแต่ละคนมีแนวทางและวิธีคิดวิเคราะห์มากมา แต่เครื่องมือหนึ่งที่ผมนำมาประยุกต์ใช้ และถือเป็น Check lists เพื่อจะได้ไม่ตกประเด็นที่ควรต้องพิจารณาหลักๆ คือ Five forces model ของ Michael E. Porter หลายคนอาจบอกว่าตายไปแล้ว หรือมีของใหม่กว่า เดิมหลักของ Five forces ใช้เป็น model สำหรับธุรกิจหรือผู้ประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดกลยุทธ์ (Strategy) ในการแข่งขัน แต่ผมเห็นว่านำมาใช้วิเคราะห์ช่วยการลงทุนได้ และยังถือว่ากรอบของ Five forces model ยังใช้การได้และนำเอาหลักเศรษฐศาสตร์และการตลาดมาประยุกต์ใช้ ในการพิจารณาและวิเคราะห์อุตสาหกรรม ด้วย Five forces model

ในมุมของการลงทุน ให้ประเมินว่าอุตสาหกรรมที่จะลงทุนนั้น มีลักษณะใด เพราะถ้ามองสภาพการแข่งขันออกแล้ว เราจะประเมินการเติบโตในระยะยาวได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะนี้เป็นเรื่องสำคัญแรกของการลงทุน โดยดูว่าอุตสาหกรรมที่จะลงทุนนั้นเป็น

  1. Monopoly Market ตลาดผูกขาด
  2. Oligopoly Market ตลาดผู้ขายน้อยราย
  3. Monopolistic Market ตลาดผู้ขายมากราย จำนวนคู่แข่งขัน ถ้าคู่แข่งขันมีจำวนมาก หรือ มีขีดความสามารถพอๆกัน จะทำให้มีการแข่งขันที่รุนแรง การเติบโตของบริษัทจะไม่สูงกว่าการเติบโตอุตสาหกรรม
  4. Perfect or Pure Market ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
ตารางที่เปรียบเทียบตลาดแต่ละประเภท
ที่มา : http://microeconomicswithsarbjeet.blogspot.com/2012/12/comparing-market-structures.html

จากนั้นพิจารณาแต่ละตลาดด้วยกรอบ Five forces model ก็จะทำให้พิจารณาหรือวิเคราะห์อุตสาหกรรมได้รอบด้านโอกาสตกหล่นปัจจัยที่สำคัญจะน้อยลง

 Five forces model
ที่มา: 
http://www.mindtools.com/pages/Newsletters/20Jan05.htm

  1. สภาพการณ์ของการแข่งขัน (Rivalry between established firms or Rival competition) เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับการแข่งขันทั้งหมดที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน ตลาดเดียวกัน การวิเคราะห์ขนาดของตลาด รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อการแข่งขัน 
  2. อำนาจการต่อรองของผู้บริโภค (Bargaining power of buyers) เป็นการวิเคราะห์ที่จะดูด้านดีมานด์ของอุตสาหกรรมว่าขยายตัวอย่างไร เพื่อให้ทราบอำนาจการต่อรองของผู้บริโภคว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้ามีการแข่งขันในทางธุรกิจสูงและผู้บริโภคมีทางเลือกมาก ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในแง่ของรายได้ และส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงได้ การวิเคราะห์ด้านนี้ทำให้ พิจารณา margin ได้ว่าในระยะยาวจะรักษาหรือคง margin ได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้จะดูเรื่องต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าของอุตสาหกรรมคู่แข่งแล้วลูกค้าอุคสาหกรรมต้องมีต้นทุนในการเปลี่ยนสูง อำนาจการต่อรองของลูกค้าก็จะต่ำ
  3. อำนาจการต่อรองของผู้ผลิต (Bargaining power of suppliers) เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัจจัยการผลิตที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม โดยการวิเคราะห์การพึ่งพาจากผู้ผลิต ถ้าต้องมีการพึ่งพาสูงก็จะมีความเสี่ยงของการผลิตมากขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและความสามารถในการทำกำไร เช่น ธุรกิจเดินเรือ ธุรกิจการบิน ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนสูง และธุรกิจเดินเรือ ธุรกิจการบิน แทบไม่มีอำนาจต่อรองไปใช้วัตถุดิบอื่นได้เลย ดังนั้นราคาน้ำมันจะมีผลต่อต้นทุนขายสูง ในภาวะน้ำมันราคาสูง กำไรของธุรกิจนี่ก็จะลดลงอย่างมาก เป็นต้น
  4. การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ (Risk of entry by potential competitors) เป็นการวิเคราะห์ว่ามีความยากง่ายในการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่มากน้อยเพียงใด ถ้าการเข้ามาของผู้ประกอบรายใหม่สามารถทำได้ง่ายและสะดวกก็จะต้องทำให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจได้ง่าย อุปสรรคกีดขวางการเข้าสู่อุตสาหกรรม จะได้แก่
    - การประหยัดจากขนาด (Economies of scale)
    - ใช้เงินในการลงทุนสูง (Scale barrier)
    - เงินลงทุน (Capital requirements) ถ้าต้องลงทุนสูง ก็จะเป็นอุปสรรคต่อรายใหม่
    - ข้อจำกัดในการเข้าถึงช่องจัดจำหน่าย (Access to distribution)
    - นโยบายของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่มีนโยบายส่งเสริม หรือมีข้อห้ามสัมปทาน
    - ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงการใช้สินค้า (Switching cost) ถ้าลูกค้าต้องมีต้นทุน หรือค้าใช้จ่ายในส่วนนี้สูง ต้นทุนเหล่านี้ซึ่งอาจได้แก่ ต้นทุนของอุปกรณ์เครื่องจักรที่ต้องปรับเปลี่ยนเพิ่ม หรืออาจจะเป็นระบบงานที่ต้องจัดรูปแบบใหม่ ค่าฝึกอบรมแลสอนงานให้กับพนักงานเพื่อให้ทำงานตามระบบใหม่เป็นต้น
    - ข้อได้เปรียบต้นทุนในด้านอื่นๆ เช่น เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเฉพาะ มีวัตถุดิบราคาถูก มีทำเลที่ตั้งดีกว่า มีแหล่งเงินทุนที่ต้นทุนถูก และทำมานนานจนเกิดการเรียนรู้
  5. การมีสินค้าและบริการอื่นทดแทน (Threat of substitute products) เป็นการวิเคราะห์ว่าสินค้าและบริการที่อุตสาหกรรมมีอยู่นั้น มีโอกาสหรือไม่ที่จะมีสินค้าและบริการอื่นเข้ามาทดแทนสินค้าและบริการเดิม ซึ่งอาจทำให้รายได้จากการขายสินค้าและบริการลดลง รวมถึงส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงในอนาคต ตัวอย่างแรงผลักดันซึ่งเกิดจากสินค้าอื่นๆซึ่งสามารถใช้ทดแทนได้
    - ระดับการทดแทน เป็นการทดแทนได้มาก หรือทดแทนได้น้อยแค่ไหน เช่น เครื่องปรับอากาศกับพัดลม
    - ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงการใช้สินค้าปัจจุบัน ไปสู่การใช้สินค้าทดแทน
    - ระดับราคาสินค้าทดแทนและคุณสมบัติใช้งานของสินค้าทดแทน
    - การเลือกใช้ถ่านหินหรือน้ำมันเตาในการให้ความร้อนของธุรกิจผลิตปูนซิเมนต์
    ดังนั้น การวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมของการทำธุรกิจทำให้เรารู้ถึงสภาวะที่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ ดำรงอยู่ เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจสามารถปกป้องตนเองให้พ้นจากสิ่งรอบข้าง ที่มีผลต่อการทำธุรกิจของเราและในขณะเดียวกันก็สามารถทนแรงผลักดันจากด้านต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ถ้าใช้ LEPEST ซึ่งเป็นการประเมินเรื่องความเสี่ยงสำหรับ Enterprise Risk Management เอามาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรม ประกอบด้วย

  1. Legal 
  2. Economic 
  3. Political 
  4. Environment 
  5. Strategic/Social 
  6. Technology 
LEPEST + 5 force
ที่มา http://cdn.grin.com/images/preview-object/document.24495/81dd43eef5760c15e4a792211945eba4_LARGE.png


ทั้ง 5 Forces และ LEPEST (ลีเพสท์) ใช้เพื่อเป็น Checklist ในการดูเพื่อให้ไม่หลุดประเด็นพิจารณา ใครจะไม่ใช้ก็ได้ เพราะไม่ใช่หลักการหรือทฤษฎี แต่อย่างน้อยช่วยนักลงทุนประเมินอุตสาหกรรมว่าอนาคตมีอะไรเป็นแรงผลักดันหรือกดดันบ้าง ในด้านความเสี่ยงของอุตสาหกรรมมีอะไรบ้างที่เราต้องดูว่าตกหล่นประเด็นใดหรือไม่ เช่น บางคนจะวิเคราะห์อุตสาหกรรมโรงพยาบาล สิ่งแรกคือประเมินว่าเป็นตลาดประเภทใดก่อนว่าเป็นลักษณะแบบผูกขาด ผู้ขายน้อยราย ผู้ขายมากราย หรือ ตลาดสมบูรณ์ เพราะถ้าเราประเมินผิดแต่แรก จะเดินผิดทางหมดได้ง่าย ถ้ามองเฉพาะพื้นที่หรือเฉพาะกลุ่มบางคนอาจมองว่าเป็นแบบน้อยราย อันนี้แล้วแต่มุมมองแต่ในส่วนของผมจะประเมินว่าเป็นแบบผู้ขายมากราย มีผู้ประกอบการอยู่ไม่น้อยทั้งภาครัฐและเอกชน หลายพื้นที่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การแข่งขันในอุตสาหกรรมก็มีระดับหนึ่ง ย่อมหมายความว่าการเติบโตย่อมถูกจำกัดในระยะยาวจากการแข่งขัน ประเภทโตปีละ 15-20% อีก 5 ปี 10 ปี ย่อมยาก นอกจากตัวอุตสาหกรรมโดยรวมจะโตเองเช่นนั้น ซึ่งตัวเลขนี้สามารถหาได้จากแหล่งต่างๆ เช่น ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากธนาคารพาณิชย์บางที่ที่ทำวิจัยอุตสาหกรรมนี้ เป็นต้น มองด้านผู้ใช้บริการที่มีช่องทางเลือกใช้บริการได้มาก อำนาจการต่อรองราคาอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากฝั่งผู้บริโภคโดยตรง แต่เกิดจากการแข่งขันด้านราคากันเองในผู้ประกอบการมากกว่า ส่วนด้านอำนาจการต่อรองของผู้ผลิต ก็ต้องมองไปทางด้านบุคคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอาจต้องดูถึง AEC ว่าจะเกิดการขาดแคลนหรือเกิดุปทานส่วนเกินมากกว่ากัน เพราะมีผลต่อต้นทุนบริการเพิ่มในระยะยาว และส่งผลถึงอัตรากำไรในอนาคต ในด้านผู้ประกอบการใหม่ก็ไม่ยากนักที่จะเกิดโรงพยาบาลใหม่ๆ เพราะการขึ้นโรงพยาบาลใหม่นั้นไม่ได้ยากมากมาย ไม่ได้มีอุปสรรคทางกฎหมายจะห้ามสร้างเพิ่ม แต่อาจเกิดโรงพยาบาลเฉพาะทางเดิดได้ไม่ยากนัก ส่วนด้านการมีสินค้าและบริการอื่นทดแทนนั้น อาจจะไม่มีนอกจากการแข่งขันกันเองภายใน ทียกมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นถึงการไล่ประเด็นใน 5 Forces จะทำให้มี checklist ในเบื้องต้น แต่ใครจะมีเพิ่มอีกก็ได้ ยิ่งดี แต่อย่างน้อยกรอบนี้ก็ทำให้มองได้ครอบคลุมกว้างขึ้น บาง Forces อาจมองได้ลึกกว่านี้อีก เพียงแต่ยกวิธีคิดให้ดูเท่านั้น

หาก จะนำเอา LEPEST มาช่วยเพิ่มอีกก็จะละเอียดขึ้น เช่นอุตสาหกรรมที่ดูอยู่นี้ ด้าน Legal มีอะไรเป็น Hot Issues ที่กดดันในปัจจุบันหรืออนาคตหรือไม่ หรืออย่างธุรกิจธนาคาร ก็คงต้องพิจารณาเรื่อง กฎเกณฑ์การควบคุม (Regulator Law) ใหม่ที่มีว่ากระทบกับการดำเนินธุรกิจเพียงใด เช่นในอดีตที่มีเรื่อง Basel II เป็นต้น ด้าน Economic อ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงใด ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีมาก แต่หลักๆก็จะดู GDP (C, G, I, E-I), ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ปริมาณเงิน ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ ไม่เท่าหรือเหมือนกัน อุตสาหกรรมโรงพยาบาลอาจมีน้อย และอาจดูเพียง C (Consumption) ตัวเดียว บางคนอาจจะบอกว่าเวลาป่วยคนไม่อาจเลือกได้ว่าจะป่วยตามภาวะเศรษฐกิจ แต่บางคนก็มองว่า เมื่อกำลังซื้อน้อยลงเลือกรักษาโรงพยาบาลลดลง แต่ซื้อยาทานเอง แต่ปัญหานี้หมดไป ถ้าดูตัวเลขรายจ่ายครัวเรือนด้านรักษาสุขภาพ (มีข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ แม้ข้อมูลจะไม่ update แต่ใช้เป็นแนวทางทดสอบว่าที่ผ่านมามีแนวโน้มสัมพันธ์กับการจ่าย Consumption หรือไม่) การเมืองหรือนโยบายทางการเมืองมีผลต่ออุตสากรรมอย่างไร โดยเฉพาะทางภาคเอกชน บางอุตสาหกรรมมีสูง เช่น รับเหมาก่อสร้างที่อิงกับนโยบายภาครัฐในเรื่องเมกะโปรเจ็ค เป็นต้น Environment อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า ถ่านหิน เดี๋ยวนี้อาจต้องเพิ่มกลุ่มน้ำมันด้วยที่อ่อนไหวต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมสูง แม้แต่ เมกะโปรเจค เช่นโครงการ 3.5 แสนล้าน ที่มีเรื่องสิ่งแวดล้อม (ทำ EIA) ทำให้ความไม่แน่นอนสูงติอการลงทุนในภาครัฐ เป็นต้น ส่วน Strategic/Social ก็ต้องดูว่าภาพรวมอุตสาหกรรมไปสู่ทิศทางใด กลยุทธ์ในระดับบนมีสามทางหลักคือ Growth Strategy, Productivity Strategy และ Retrenchment Strategy ขอยกตัวอย่างใน Growth Strategy ให้ประเมินเบื้องต้นว่า จะเกิดการรวมธุรกิจมากน้อยเท่าใด ดูแง่อุตสาหกรรมรวมๆเท่านั้น ว่ามีไหม ส่วนรายละเอียดแต่ละบริษัทก็ต้องไปวิเคราะห์อีกที เพราะบางครั้งระดับอุตสาหกรรมมีน้อย แต่บริษัทที่เลือกอาจทำก็ได้ การมองระดับอุตสาหกรรมหากภาพรวมกำลังนำไปสู่การทำ M&A สูง แสดงว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง Scale ในการแข่งขัน จากระดับ Domesticไปสู่ Regional และ Global แนวโน้มการเติบโตอาจมาก ในระยะสั้น แต่ระยะยาวต้องเผชิญการแข่งขันมาก margin อาจถูกกดดันมาก การพิจารณา 5 Forces อาจต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ที่กว้างขึ้น (มองทั้งภูมิภาคหรือโลกแทน) และสุดท้ายดูว่าทาง Technology อุตสาหกรรมที่ดูอยู่เป็นอย่างไร เอาเท่านี้นะครับ เอากันจริงๆ การวิเคราะห์อุตสาหกรรมก็ไม่ง่ายๆ มีตัวแปรเชิงคุณภาพหลายด้าน ถ้าจะลงทุนยาวๆ เช่นมากกว่า 5 ปี หรือนานสิบปีต้องมองอุตสาหกรรมให้ออกอย่างขาด ถ้าลงทุนสั้นก็คงไม่เป็นไร กว้างๆ คร่าวๆ ก็พอไหว เพราะส่วนใหญ่ก็เอา growth จากตัวเลขงบดูไปข้างหน้าแค่ปีสองปีคงพอ

[1]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10200846272137538

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขายคืออะไร

ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขาย เป็นการวัดประสิทธิภาพต้นทุนในการดำเนินงานของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยอาศัยการเทียบสัดส่วนของต้นทุนในการเคลื่อนย้าย การกระจายสินค้า และการจัดเก็บดูแลสินค้าที่สิ้นเปลืองไปหรือหมดไปเป็นเปอร์เซ็นร้อยละของมูลค่าของสินค้าทั้งหมดที่จัดจำหน่ายหรือขาย เป็นรายได้ของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม. 

โดยเปอร์เซ็นร้อยละของต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขาย ถ้ามีตัวเลขเปอร์เซ็นที่สูงแสดงถึงประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ที่ไม่ดี หรือระบบการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง มีค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดเก็บสินค้าหรือสต๊อกสินค้าสูง ทำให้ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมมีกำไรน้อยลง สูญเสียความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากผลิตภัณฑ์หรือสินค้ามีต้นทุนที่สูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ในที่สุด

ที่มา พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล, "อาหารโลจิสติกส์ 001/2556" https://www.facebook.com/Dr.Pongchai/posts/580301828651780

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จับ Trend อสังหาเมืองไทย

เวลาเปลี่ยน Trend ธุรกิจอสังหาก็เปลี่ยนครับ จากบทความก่อสร้างและที่ดินของมติชนสุดสัปดาห์ [1] เขาว่า

  • คนรุ่นใหม่อยู่คอนโดริมรถไฟฟ้า ไม่กลับไปอยู่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่กับพ่อแม่
  • พ่อแม่ ที่อยู่บ้านเดี่ยวใหญ่ๆ ดูแลไม่ใหวก็ขาย มาหาบ้านเล็กลง
  • นักธุรกิจที่อยู่ต่างจังหวัด แต่มีธุระมาเมืองกรุงบ่อยๆ
    • ซื้อบ้านเดี่ยวจากพวกข้างบนที่ดูแลบ้านไม่ไหวนั่นแหละ เพราะชินบ้านหลังใหญ่ที่ต่างจังหวัด
    • ซื้อคอนโดให้ลูกๆที่มาเรียนกรุงเทพ
  • นักธุรกิจเมืองกรุงเตรียมเกษียณ อยากไปอยู่ต่างจังหวัด
    • อยากทำธุรกิจเล็กๆ ก็ซื้อรีสอร์ททางภาคเหนือ
    • อยากซื้อที่ดินเปล่าไว้ลงทุนนิยมซื้อที่ดินภาคอีสาน
    • ชอบภูเขาไปซื้อที่ที่เขาใหญ่
    • ชอบทะเลไปซื้อคอนโดที่หัวหิน พัทยา
ใครอ่านเกิดไอเดียอะไรก็เชิญต่อยอดกันเอาเองนะครับ



[1] นายตอ, วงจรไหม่, มติชนสุดสัปดาห์, ฉบับที่ 1684 หน้า 22