วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แนวทางการจัดการความเสี่ยงอย่างง่าย

ความเสี่ยงยังไงก็หนีไม่พ้น จะอยู่กับมันอย่างไรให้ชิวๆ ขั้นตอนคร่าวๆดังนี้

1.ระบุความเสี่ยง
นึกอะไรได้เขียนไป

2.ระบุความน่าจะเป็นและผลกระทบ
เหตการจากข้อ1มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดมากน้อย และผลกระทบมากน้อย เท่าไร

3.จัดกลุ่มความเสี่ยง
ได้รู้ว่าอันไหนสำคัญมากน้อยแบ่งง่ายๆเป็น

  • ความน่าจะเป็นมากผลกระทบน้อย
  • ความน่าจะเป็นมากผลกระทบมาก
  • ความน่าจะเป็นน้อยผลกระทบน้อย
  • ความน่าจะเป็นน้อยผลกระทบมาก

4.จัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงมี หลัก 4 ข้อคือ [1]

  • Transfer การโอนความเสี่ยง เช่นประกัน การใช้ตราสารอนุพันธ์
  • Threat รับความเสี่ยง เราอาจชนะก็ได้ ไม่ชนะเราก็เจ็บไม่มาก (เราประเมินแล้วว่ารับผลกระทบได้) เช่น ถือหุ้นไปไม่ต้องทำอะไร หุ้นสวิงไปมาในกรอบที่รับได้ ทำธุรกิจ ขายต่างประเทศ อาจไม่ซื้อฟอร์เวิร์ด เพราะค่าเงินสวิงไม่แรง เป็นต้น นี่เรียกว่า Threat
  • Terminate หลีกเลี่ยงหรือยกเลิกไปไม่ทำในทางที่พบกับความเสี่ยง ไม่ซื้อหุ้นก็ไม่ขาดทุน ไม่กำไร
  • Protection ป้องกันไม่ให้เกิด บางคนจะสับสนกับแบบแรกและสาม การป้องกันมักจะใช้ในแง่การออกทางปฏิบ้ติไม่ให้เจอความเสี่ยง เช่นห้ามสูบบุหรี่ในปั๊มน้ำม้น ทำปั๊มน้ำมันอย่างไรก็เสี้ยงเรื่องการเกิดเพลิงไหม้ ราคาน้ำมันขึ้นลง เราป้องกันได้ด้วยการซื้อฟิวเจอร์น้ำมัน อัคคีภัยเราก็ซื้อประกัน แต่ไม่ใช่ว่าซื้อประกันแล้วมันจะไหม้จะระเบิดเราก๋ไม่สน เราก็ไม่อยากให้เกิดง่ายๆ อาจต้องมีกฎควบคุมกิจกรรมพนักงานและลูกค้าไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงอีก เหมือนข้บรถ เราก็มีประกันรถชั้นหนึ่ง แต่เราก็ยังคงระวัง เมื้อเลี้ยวก็เปิดไฟเลี้ยว เช็คน้ำมันเบรค พักผ่อนให้พอ ที่กล่าวมาก็คือ Protection
ความเสี่ยงถ้าจัดการดีแล้ว อะไรจะเกิดก็ทำตามแผนไป โชคดีทุกท่าน

[1]https://www.facebook.com/pat4310/posts/1029509797073796

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

5 จุดสำคัญวิเคราะห์งบการเงิน

งบการเงินช่วยบอกให้รู้ว่าผลประกอบการบริษัทที่เราสนใจดีหรือไม่ดีอย่างไร ควรถือยาวหรือไม่ หรือเล่นสั้นตีหัวเข้าบ้านไป หรือโชคร้ายอาจโดนเจ้ามือตีหัวแทน ถ้าผลประกอบการในอนาคตดีราคาหุ้นยังไงก็ต้องวิ่งโอกาสขาดทุนน้อย โดย 5 จุดสำคัญที่ควรดู มีดังนี้

1.โครงสร้างงบดุล
มองหนี้รวมเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นถ้าบริษัทไหนหนี้สินเยอะๆ เกิน 2 เท่าของทุนให้ระมัดระวังเพราะถ้าสภาพคล่องไม่ดี ดูสภาพคล่องที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในข้อ 3 ให้เป็นบวกไว้ก่อน ถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลยอนาคต อาจมีการเพิ่มทุน หรือถ้าเลวร้ายหาเงินไม่ทันก็ล้มละลายได้

2.รายได้และกำไร
บริษัทที่ดีควรมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น อัตรากำไรสม่ำเสมอ ถ้าอัตรากำไรไม่สม่ำเสมอต้องไปอ่านคำอธิบายผลประกอบการว่ารายได้ลดลงหรือรายจ่ายเพิ่มขึ้นเพราะอะไร เป็นเหตชั่วคราวหรือไม่

3.กระแสเงินสดของกิจการ
เวลาอ่านควรให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ควรมีค่าเป็นบวกและใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุน แสดงให้เห็นว่าบริษัทมี สภาพคล่องทำมาหากินแล้วมีเงินงอก เงินส่วนนี้สามารถนำไปลงทุน จ่ายดอกเบี้ย จ่ายเงินต้น และปันผลได้
ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน (CFI) ควรมีค่าเป็นลบ แสดงถึงบริษัทมีการลงทุนขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน (CFF) ควรมีค่าเป็นลยเช่นกัน เพราะแสดงว่าบริษัทเอาเงินไปจ่ายหนี้เงินต้น หรือจ่ายปันผล

4.อัตราส่วน ROE
ROE แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรกลับมาหาผู้ถือหุ้นเท่าไร บริษัทที่ดีความมีค่า ROE สม่ำเสมอไม่ผันผวน ถ้าบริษัทที่มี ROE ลดลงติดๆกันหลายๆปี แสดงว่าบริษัทมีแนวโน้มกำลังเติบโตช้าลง ถือไปชาตินึงหุ้นก็ไม่ขึ้น

ROE สามารถแยกองค์ประกอบออกได้อีกเป็น 3 ประเด็นคือ

  • อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE ratio) มองภาพรวมของหนี้ บริษัทที่ดี DE จะสม่ำเสมอ บริษัทที่ DE สูง จะทำให้ ROE สูงแต่ผู้ถือหุ้นก็เสียวล้มละลายไปด้วย
  • อัตราส่วนหมุนเวียนทรัพย์สิน (Asset turnover) บอกว่าสินทรัพย์ของบริษัท 1 บาททำไปสร้างรายได้ได้เท่าไร บริษัทที่ดีอัตราส่วนนี้จะสม่ำเสมอ
  • อัตรากำไรสุทธิ บอกว่ายอดขาย 100 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือกำไรเท่าไร บริษัทที่ดีควรมีอัตรากำไรสม่ำเสมอ ถ้าไม่สม่ำเสมอต้องไปหาสาเหตุว่าอัตรากำไรลดลงเพราะอะไร


5.อัตราส่วน PE
PE ใช้วัดความถูกแพงของหุ้น หุ้นที่ PE สูงๆ เกิน 20 เท่าขึ้นไป แสดงว่าตลาดให้ค่ากับกำไรในอนาคตค่อนข้างเยอะ จะซื้อหุ้นต้องไปตามข่าวในอนาคตเอาว่ามีโครงการอะไรทำให้หุ้นโตได้บ้าง
แต่ถ้า PE ต่ำมากๆ ก็ต้องระวังว่าเป็นกำไรพิเศษที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน กำไรจากรอบช่วง PEAK ของหุ้นวงจร หรือกำไรของบริษัทกำลังมีแนวโน้มต่ำลงหรือไม่ ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขก็แสดงว่า PE ของบริษัทที่เรากำลังจะซื้อไม่แพงเกินไป ติดดอยก็น่าจะยังมีปันผลกิน

ตัวเลขพวกนี้ไม่ต้องคำนวณเองครับ ตลาดหลักทรัพย์เขาทำมาเป็น fact sheet ไว้ให้แล้ว สามารถเข้าไปดูได้ฟรีๆครับผม เข้าไปลิงค์นี้อยากดุหุ้นตัวไหนแก้ตรง url bar จาก symbol=PTT เป็นชื่อหุ้นที่ต้องการ  http://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=PTT&ssoPageId=3&language=th&country=TH 

การไล่ดูงบตามขั้นตอนนี้ทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะหสภาพของกิจการได้คร่าวๆ และวางแผนการลงทุนได้ไม่ยากครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่าน

ที่มา: ภัทรธร ช่อวิชิต, "เจาะหุ้นร้อนแสกนหุ้นเด้ง", สำนักพิมพ์ thinkgood, 2558.

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วัดความสวิงของหุ้นด้วย RVI (relative volatility index)

เล่นหุ้น เราทำกำไรจากความผันผวนของราคา ในทางสถิติความผันผวนถูกวัดด้วยค่าความแปรปรวน (standard deviation) ที่เป็นการวัดว่าค่าของตัวแปลห่างจากค่าเฉลี่ยเท่าไร ค่าความแปรปรวนมากก็ผันผวนมาก

RVI เป็นดัชนีที่ดัดแปลงมาจาก RSI ที่เป็นการงัดข้อกันระหว่างแรงซื้อกับแรงขาย ถ้าแรงซื้อมากกว่าแรงขาย ค่าดัชนีก็จะมากกว่า 50 การคำนวณตามภาพ
การคำนวณดัชนี RVI
ตัวแปรที่ต้องตั้งค่าคือ
EMA คือค่าเฉลี่ย EMA ของค่าความแปรปรวน สมมติตั้งการวัดความผันผวนในช่วง 14 วันให้สอดคล้องกับ RSI(14) เพื่อให้สัญญาณไม่เหลื่อมกัน ก็ตังค่าเป็น (RVI(14))
Stddev คือค่า ความแปรปรวนของ จำนวนวันที่ต้องการ ถ้าจะเอาให้เหมาะกับ ค่าเฉลี่ย EMA ของค่าความแปรปรวน ก็ใช้สูตรจำง่ายๆคือ (RVI(x) x 2)-1 สมมติ จะใช้ RVI 14 วันก็ตั้งหาค่าความแปรปรวนบนเส้นค่าเฉลี่ย 27 วัน (จากสูตรตัวปรับความราบเรียบของ EMA ค่า alpha คือ 2/n+1 ถ้าจะ ใช้ rsi 14 alpha คือ 1/14 หรือ 2/28 ค่า n = 27  )

การใช้งาน
ใช้เหมือน rsi นั่นละมากกว่า 50 ก็ซื้อเพราะมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย เพราะค่าเฉลี่ยของความแปรปรวนวันที่ขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของความแปรปรวนของวันที่ลง ซื้อตอนมากกว่า 50 หลุด 50 ก็ขาย

หรือจะใช้คู่กับ MACD ก็น่าสนใจ MACD วัด momentum rsi ใช้วัดแรง

ใช้ RVI คู่กับ MACD
ที่มา stockmarketstudent.com/relative-volatility-index/
ที่มา http://stockmarketstudent.com/relative-volatility-index/

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อยากรวยในตลาดหุ้นก็ต้องหัดคิดแบบเุ้ถ้าแก่

เป็นบทความที่เขียนโดยคุณชาตรี โรจนอาภา [1] เกี่ยวกับเรื่องของความคิดกับการลงทุนครับ เขาบอกว่าการลงทุนให้หุ้นก็คือการเป็นเจ้าของกิจการ ดังนั้นเราก็ต้องฝึกคิดแบบเจ้าของกิจการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ มองไปข้างหน้า มองภาพรวมเป็นหลัก ซึ่งลูกจ้านานๆจะทำซักที   เชิญอ่านโดยพลัน
คิดแบบเถ้าแก่
วันเวลาในตลาดทุนทำให้ผมมีโอกาสได้สัมผัส และซึมซับแนวคิดรวมถึงมุมมองต่อสิ่งต่างๆของผู้คนมากมาย จากทั้งภาคตลาดทุน ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ซึ่งจากการสังเกตของผมนักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้ จำเป็นต้องมี “แนวคิดแบบเถ้าแก่” (Entrepreneurship) เป็นพื้นฐาน แล้วแนวคิดแบบเถ้าแก่นี้เป็นอย่างไรแตกต่างจากแนวคิดแบบลูกจ้างอย่างไรในมุม มองของผมลองมาดูกันครับ
  • เถ้าแก่ : กระตือรือล้น และทำทุกอย่างสุดความสามารถเสมอ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาทำมากเขาจะได้มาก
  • ลูกจ้าง : ทำงานตามหน้าที่ ทำงานตามสั่ง และเฉื่อยชา เพราะเขาทำมากหรือทำน้อยเขาก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม
  • เถ้าแก่ : กล้าที่จะคิดต่าง เพราะการคิดนอกกรอบสามารถสร้างธุรกิจใหม่ และเพิ่มรายได้ให้เถ้าแก่ได้ไม่จำกัด
  • ลูกจ้าง : คิดแต่จะอยู่ในกรอบ กลัวความคิดตนจะไม่เหมือนคนอื่น กลัวผิดระเบียบปฎิบัติ กลัวขัดใจนาย การคิดต่างไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของลูกจ้างดีขึ้นมีแต่จะทรงหรือแย่ลง
  • เถ้าแก่ : กล้าที่จะเสี่ยงในสิ่งที่เขาคิดดีแล้ว กล้าจะเผชิญกับความไม่แน่นอน กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ และยอมรับได้กับผลของการตัดสินใจและการกระทำของเขาไม่ว่าจะดีจะร้าย
  • ลูกจ้าง : หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เพราะกลัวล้มเหลว กลัวถูกนายตำหนิ ชอบสิ่งที่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า และเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาดมันโยนความผิดให้ผู้อื่น
  • เถ้าแก่ : เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ถ้าพบอุปสรรคระหว่างทางเขาพร้อมที่จะหาทางออกทุกวิถีทางเพื่อให้เป้าหมายของ เขาลุล่วงไปได้ เขาเลือกจะหาทางไปไม่เปลี่ยนเป้าหมาย
  • ลูกจ้าง : เชื่อว่าทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว ไม่ว่าทำอย่างไรชีวิตเราก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าพบอุปสรรคระหว่างทางเขามักจะเลือกล้มเลิกเป้าหมายแทนที่จะหาทางทำให้เป้า หมายเป็นไปได้ เขาเลือกจะเปลียนเป้าหมายไม่พยายามหาหนทางไป
  • เถ้าแก่ : ไม่ท้อแท้ ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวกี่ครั้งก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้ต่อไป โดยใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน
  • ลูกจ้าง : ถอดใจเมื่อล้มเหลว และหาทางหลีกหนีจากสิ่งที่ตนเคยล้มเหลว และก็มักจะไปพบกับความล้มเหลวใหม่ๆที่เขาไม่เคยเจอ
  • เถ้าแก่ : เห็นคุณค่าของเงิน มักเก็บออมเพื่อนำเงินออมมาลงทุนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม และเก็บไว้สำรองเผื่อธุรกิจของตนมีปัญหา
  • ลูกจ้าง : คิดว่าเงินเป็นสิ่งที่ได้มาแน่นอนทุกเดือน อย่างไรนายจ้างก็ต้องจ่ายให้ เมื่อมีโอกาสก็มักใช้เงินให้หมดไป และรอคอยเงินเดือนๆต่อไปมาใช้ใหม่
  • เถ้าแก่ : กู้เงินมาเพื่อลงทุน ขยายกิจการ ต่อยอดธุรกิจ และเมื่อมีโอกาสก็จะคืนเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
  • ลูกจ้าง : กู้เงินมาเพื่ออุปโภคบริโภค และมักกู้เงินไปเพื่อซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยไปเรื่อยๆ เท่าที่จะยังจ่ายค่างวดไหว
แล้วทำไมนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจึงต้องมีแนวคิดอย่างเถ้าแก่ นั่น ก็ เพราะแนวคิดแบบเถ้าแก่จะช่วยเกื้อหนุนให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้อง ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดแบบลูกจ้างโดยสิ้นเชิง
  • ถ้าคุณขาดความกระตือรือล้น คุณก็จะขาดความมุ่งมั่นที่จะค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจให้ดีที่ สุด หรือหลีกเลี่ยงความรู้ใหม่ๆและทำให้คุณยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ
  • ถ้าคุณขาดความคิดนอกกรอบ คุณก็จะถูกตลาดชัดนำได้ง่ายและมีแนวโน้มจะแห่ตามนักลงทุนรายอื่นๆ ถ้านักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดไม่ได้เป็นเศรษฐี คุณที่แห่ตามนักลงทุนส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะไม่ได้เป็นเศรษฐีไปด้วย
  • ถ้าคุณกลัวที่จะล้มเหลว การตัดสินใจของคุณก็จะขาดความเด็ดขาด และมีแนวโน้มจะปล่อยให้ความผิดพลาดขยายผลไปเรื่อยๆเพราะคุณปฎิเสธที่จะยอม รับและแก้ไขมัน
  • ถ้าคุณเชื่อว่าทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว คุณก็จะดำเนินชีวิตไปตามตามแบบอย่างที่คุณเคยเห็น เคยสัมผัส ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่ของคุณ ญาติผู้ใหญ่ของคุณ หรืออาจารย์ของคุณ และคิดว่าชีวิตของคุณเป็นได้ไม่มากไปกว่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วมหาเศรษฐีระดับโลกในปัจจุบัน หลายคนก็สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตัวเองไม่ได้พึ่งแค่สิ่งที่มีมาแต่กำเนิด
  • ถ้าคุณท้อแท้ง่าย เมื่อคุณล้มเหลว คุณก็จะไม่พยายามหาสาเหตุเพื่อแก้ไขและลุกขึ้นสู้กับปัญหา แต่จะเลือกหนีจากความล้มเหลวนั้นๆ สุดท้ายคุณก็จะล้มเหลวไปเรื่อยๆไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปทำอะไรก็ตาม
  • ถ้าคุณไม่รู้จักเก็บออม คุณจะก็ไม่มีเงินลงทุนซักที มีเหตุผลข้ออ้างนับล้านที่คุณอาจใช้อธิบายว่าทำไมคุณจึงไม่มีเงินเริ่มลงทุน แต่เหตุผลจริงๆมีเพียงข้อเดียวคือ คุณไม่เริ่มออมเงิน จำเอาไว้ว่าการลงทุนเริ่มต้นจากการออมเสมอ
  • ถ้าคุณกู้เงินมาเพื่อการอุปโภคบริโภค สุดท้ายเงินนั้นก็จะหมดไป แต่ถ้าคุณกู้เงินมาเพื่อลงทุน คุณยังมีสองทางเลือกคือ
    • เงินก็หมดไปอยู่ดี (เพราะขาดทุน)
    • เงินอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินกู้และคุณจะสามารถนำไปลงทุนต่อได้อีก
  • การลงทุนไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป แต่อย่างน้อยคุณยังมีโอกาสที่จะได้กำไรและสร้างรากฐานความมั่งคั่งได้ มหาเศรษฐีทุกคนล้วนแต่เคยสัมผัสการใช้เงินกู้มาแล้วทั้งนั้น แต่สาเหตุที่พวกเขาประสบความสำเร็จได้เพราะพวกเขาเลือกที่จะกู้มาลงทุนไม่ ใช่กู้เพื่อการบริโภค
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนที่เป็นลูกจ้าง หรือข้าราชการ จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ เพราะสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังทำอาชีพอะไร แต่อยู่ที่ว่าคุณมีแนวคิดอย่างไร ถ้าคุณสามารถปรับแนวคิดของคุณให้คิดอย่างเถ้าแก่ได้ ช้าหรือเร็ววันหนึ่งคุณก็จะอยากเป็นเถ้าแก่ และเมื่อคุณเริ่มคิดจะอยากเป็นเถ้าแก่ คุณก็จะเริ่มมีโอกาสเป็นเถ้าแก่ได้ สำหรับผมแล้วการปรับแนวคิดให้เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการลงทุน ครับ
[1] http://indyinvestorforum.blogspot.com/2011/12/blog-post_03.html

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตลาดหุ้นยุติธรรมเสมอ

ตลาดหุ้นยุติธรรมเสมอ

ตลาดหุ้นเป็นที่ที่คนมีทุนกับคนมีไอเดียแต่ไม่มีทุนมาเจอกัน
ใครมีเงินก็สามารถมาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นได้
เปิดบัญชีไม่มีขั้นต่ำ

ทุกคนเข้าตลาดมาไม่มีใครมีแต้มต่อ
มีร้อยล้าน หรือเริ่มหลักพัน
เข้าตลาดมาทุกคนก็ความรู้เป็น 0 เท่าๆกัน
มีโอกาสติดดอยหรือกำไรเท่าๆกัน

ที่นี่วัดผลตอบแทนเป็น% ไม่ใช่จำนวนเงิน
กลยุทธ์อะไรได้เงินก็แปลว่าถูก
ตราบใดที่เสียเงินแปลว่าผิด
ตลาดไม่มีคะแนนท่าสวย
นักจ้องยอดเยี่ยมก็ไม่มีรางวัลให้
พวกหลังตลาดมาบอก กะแล้วตัวนี้ต้องวิ่ง
ถามว่าซื้อไหม ก็บอกว่าไม่

ระยะสั้นคือการฟาดฟัน (มักเป็นเกมส์ของนักลงทุนรายใหญ่ที่ใช้เม็ดเงินสู้กัน คนนึงอยากไล่ราคาให้ขึ้น อีกคนไม่อยากให้ไปก็พยายยามกด มักจะเกิดตามแนวต้านและแนวรับสำคัญสำคัญ ถ้าหลุดได้ก็จะมีเม่ามาไล่ราคาต่อ)

ระยาวราคาสะท้อนผลประกอบการ
ใครมองผลประกอบการออก
และถืออึดพอก็ได้เงิน

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปหนังสือ “Beating the Street" ของ Peter Lynch

สรุปหนังสือ “Beating the Street" ของ Peter Lynch โดยคุณ VIIM จาก http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51215 ก็ขอกราบขอขอบคุณที่ช่วยสรุปมาและยังใจดีแจกให้เพื่อนๆนักลงทุนได้่อ่านกัน ขอให้ผลบุญกุศลในครั้งนี้ช่วยดลบัลดาลให้หุ้นที่ถือวิ่งเป็นเด้งๆขึ้นไปครับ เชิญอ่านโดยพลัน


  1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
  2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทใน อุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
  3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอ ที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
  4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
  5. การ ซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ

6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผม ควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากที เดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุ สมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่าง ทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมา มีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหัก เหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่อง มือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยาย สาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดี กลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธี การหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อย กว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและ ตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปัน ผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้ มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการ รองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมี ประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัท ค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้

การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์ ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้

กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็น อย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่า นั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัว เท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุน มืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือ เมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีป้องกันความรู้ตีกัน

เรื่องการลงทุนมีหลายสำนัก บางคนเรียนมาหลายสำนักแล้วจับจุดไม่ถูก โยงไม่ได้ ทางแก้ง่ายคือ ต้องศึกษาให้ลึกขึ้นถึงที่มาที่ไปของมัน

การศึกษาขั้นต้นเรียนรู้วิธีใช้งาน
การศึกษาขั้นสูงเรียนรู้ที่มา
ถ้ารู้ที่มาไม่มีวิชาไหนตีกัน

ทุกวิชาที่เรียนกันเป็นข้อสรุปของปัญหา ถ้าไปอ่านงานวิจัยบทแรกคือความสำคัญของปัญหา ก็ตั้งคำถามและทำการทดลองและสรุปผล ตำราเรียนก็คือรวบรวมบทสรุปของหลายๆปัญหา รู้ที่มาว่าแต่ละเครื่องมือเหมาะกับปัญหาอะไร ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก

ถ้ารุ้ที่มาที่ไปของมันแล้ว เราสามารถนำความรู้จากหลายๆที่หลายๆศาสตร์มารวมกันแล้วกลั่นมาเป็นแนวของเราเอง

เรียนจบมาการใช้งานก็แค่ เมื่อเจอปัญหา ตีปัญหาให้แตก เลือกเครื่องมือให้ถูก ไม่มีเครื่องมือเทพตัวไหนที่สามารถตอบทุกปัญหา