สรุปหนังสือ “Beating the Street" ของ Peter Lynch
โดยคุณ VIIM จาก http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51215
ก็ขอกราบขอขอบคุณที่ช่วยสรุปมาและยังใจดีแจกให้เพื่อนๆนักลงทุนได้่อ่านกัน
ขอให้ผลบุญกุศลในครั้งนี้ช่วยดลบัลดาลให้หุ้นที่ถือวิ่งเป็นเด้งๆขึ้นไปครับ
เชิญอ่านโดยพลัน
- คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่
ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก
หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ
ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
- ลินซ์กล่าวว่า
นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทใน
อุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้
แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
- ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน
สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ
ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอ
ที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ
สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด
แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก
นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย
ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
- กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
- การ
ซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา
และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6.
การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า
หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผม
ควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข
แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้
รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s
หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save
ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications
หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express
หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10
แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า
“คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด”
ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากที
เดียว ในท้ายที่สุด Lynch
ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9.
หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป
10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ
แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ
นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10.
เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ
จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา
แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร
มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง
เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11.
นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5
ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ
10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน
พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12.
หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน
ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุ
สมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14.
การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่าง
ทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว
คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้
คุณจะได้เรียนรู้ว่า
บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว
ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมา
มีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15.
หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหัก
เหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ
หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว
อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้
ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย
และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16.
การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม
การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้
คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว
จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย
เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็
นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17.
เครื่อง
มือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์
ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย
หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18.
นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch)
ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10
ปีเท่านั้น
19.
ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก)
วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ
การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย
และสำหรับหุ้นโตเร็ว
คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยาย
สาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา
แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21.
เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ
การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดี
กลายมาเป็นแย่สุดๆ
จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม
(แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22.
ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store
sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS
มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23.
วิธี
การหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market
cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน
ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่
เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง
ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก
หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด
ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล
ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25.
S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น
equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี
ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ
เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ
ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26.
Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่
เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง
สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share
เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28.
หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี
และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า
ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29.
ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock
ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ
ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31.
นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว
และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้
หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ
ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X
ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X
ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก
ค่าความนิยม (Goodwill)
ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้
ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้
ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อย
กว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33.
ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย
ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF)
ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น
สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34.
หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก
และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม
แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์
ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5
ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน
ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35.
หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค
จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย
เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและ
ตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม
ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปัน
ผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36.
การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้
บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง
มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ
คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้
มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น
ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20%
ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี
กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี
มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38.
เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ
การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E
ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก
ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39.
หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร:
บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก
15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก
แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการ
รองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้
สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร
ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ
และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป
อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม
ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales
growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42.
การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า
ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว
หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้
อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้
ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler
เมื่อเดือนที่แล้ว
มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย
ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมี
ประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้”
ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง
เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43.
หุ้นวัฏจักร:
คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัท
ค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้
การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์
ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ
ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท
และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้
กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2.
มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall
street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว
คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้
หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็น
อย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ
มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป
แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น
คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5.
บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว
ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8.
การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป
ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13.
หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา
ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง
และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน
อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็
ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น
ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ
50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน
นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่า
นั้น
คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัว
เท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ
นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุน
มืออาชีพนานเลยทีเดียว
16.
การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ
หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้
การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17.
ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม
หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก
คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18.
มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์
และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ
ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือ
เมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue)
แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง
คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50
แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด
มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น
ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21.
เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม
คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart
ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา
เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22.
หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น
แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท
ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23.
ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย
ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น
และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24.
ในระยะยาวแล้ว portfolio
ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio
ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ
จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก