แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเงิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเงิน แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

5 เครื่องมือทางคณิตศาสตร์การเงินพื้นฐาน ที่ช่วยให้ชีวิตการลงทุนดีขึ้น

ในโลกการเงินการลงทุนต้องใช้เรื่องคณิตศาสตร์และสถิติในการเข้ามาคำนวณแก้ปัญหาต่างๆ แต่วิชาเลขก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักลงทุนหลายๆท่าน บทความนี้จะเป็นการทบทวนเครื่องมือที่ใช้บ่อยๆ ครับผม

1.อัตราส่วนร้อยละ


อัตราส่วนคือ เอาตัวเลข 2 ตัวมาหารกัน จะได้ตัวเลข 1 ตัวที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ วิธีอ่านคือให้อ่านค่า ส่วน (ตัวหาร) เป็น 1 เศษก็เป็นค่าไป

เช่น pe คืออัตราส่วนราคาต่อกำไร การอ่านคือ ราคาหุ้นปัจจุบันเป็นกี่เท่าของกำไร จากนั้นเราก็นำค่านี้ไปตีความต่ออีกว่า บริษัทมีกำไร 1 บาท เรายอมจ่ายเงินซื้อบริษัทนี้ด้วยราคาเป็นกี่เท่า ดังนั้นถ้าบริษัทมีลักษณะคล้ายๆกัน หุ้นที่ pe ต่ำกว่าก็จะถูกกว่า

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน idea คือการวัดประสิทธิภาพ Output/Input พอเราจับหารกัน ก็สามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพได้

เช่นอัตรากำไรสุทธิ สูตรคือ กำไรสุทธิ หาร ยอดขาย ก็จะได้ว่า ยอดขาย 1 บาท หักรายจ่ายแล้วเหลือกำไรเท่าไร ทีนี้พอเป็นทศนิยมมันอ่านยาก เขาก็ทำเป็น ร้อยละโดยการจับคูณ 100 เข้าไป การอ่านค่าก็จะเป็นรายได้ 100 บาท หักรายจ่ายแล้วเหลือกำไรเท่าไร

2.การเทียบบรรยัติไตรยาง


คณิตศาสตร ป4 ที่ถูกนำมาใช้บ่อยในการประมาณค่าโดยเชื่อว่า สิ่งที่นำมาเทียบกันยังมีความสัมพันธ์กันในสัดส่วนเดิม การเทียบบรรยัตไตรยางจะทำ 3 ขั้นตอนดังนี้

โจทย์ตัวอย่าง บริษัท BWG มีกำไรงวด 9 เดือนเท่ากับ 234 ล้านบาท ถ้าความสัมพันธ์ยังเหมือนเดิมอยากรู้ว่ากำไร 12 เดือนจะเป็นเท่าไร

1.จับความสัมพันธ์ของ input และ output


input คือ 9 เดือน out put คือ 234 ล้านบาท

2.จับ input ให้เท่ากับ 1


ขั้นตอนนี้ทำเพื่อหาความสัมพันธ์ของ input และ out put

9 เดือนกำไร 234 ล้านบาท
1 เดือนมีกำไร 234/9 ล้านบาท

3.ใส่ค่า input ที่เราต้องการ


9 เดือนกำไร 234 ล้านบาท
1 เดือนมีกำไร 234/9 ล้านบาท
12 เดือนมีกำไร 234 / 9 x 12 = ลองจิ้มเครื่องคิดเลขดูได้ทำเป็น

ยังใช้ได้อีกเยอะครับเช่น
หุ้น pe 10 เท่าราคา 30 บาท ถ้าตลาดปรับ pe เป็น 15 เท่าจะราคาเท่าไร


3.เพิ่มขึ้นหรือลดลงกี่ %


เริ่มจากปัญหาง่ายๆเช่น ปีนี้กำไร 250 ล้าน ถ้าให้ปีหน้าเติบโต 24% สิ้นปีจะมีกำไรเท่าไร ปัญหานี้การแก้ปัญหามาจากการเทียบบรรยัติไตรยางนั่นเองดังนี้

กำไรปีนี้ 100 บาท กำไรปีหน้าเป็น 100+24=124 ล้าน
ถ้า กำไรปีนี้ 1 บาท กำไรปีหน้าจะเป็น 124/100=1.24
ดังนั้น ถ้ากำไรปีนี้ 250 ล้านบาท กำไรปีหน้าจะเป็น 1.24 x 250 = ลองจิ้มเครื่องคิดเลขดูได้ทำเป็น


เราสามารถสรุปสูตรลัดได้เป็น

  • กรณีเพิ่ม ขึ้นให้เอาตัวฐานคูณด้วย 1+%การเติบโต เช่นปีนี้ 300 ปีหน้าโต 30% ก็จะเป็น300 x (1-0.3) = 300 x 1.3 = 390
  • กรณีลดลง ขึ้นให้เอาตัวฐานคูณด้วย 1-%การลดลง เช่นปีนี้ 300 ปีหน้าลดลง 20% ก็จะเป็น 300 x (1-0.2) = 300 x 0.8= 240

เรื่องนี้เป็นพื้นฐานของการคิด ผลอบแทนทบต้น

  • ต้นปีมีเงิน 1 บาท ดอกเบี้ย 2% สิ้นปีที่ 1 มีเงิน 1 x 1.02 = 1.02
  • สิ้นปีที่ 2 มีเงิน 1.02 x 1.02 = 1.02 ^ 2
  • สิ้นนปีที่ 3 มีเงิน 1.02 x 1.02 x 1.02 = 1.02 ^ 3
  • สิ้นนปีที่ 4 มีเงิน 1.02 x 1.02 x 1.02 x 1.02 = 1.02 ^ 4
  • สิ้นนปีที่ 2 มีเงิน 1.02 1.02 x 1.02 x 1.02 x 1.02 = 1.02 ^ 5
  • สิ้นนปีที่ n มีเงิน = 1.02 ^ n

ซื่งก็คือ future value นั่นเอง FV = PV x (1+i)^n เป็นการตอบคำถามว่า ถ้ามีเงินวันนี้เท่ากับ pv บาท ได้ผลตอบแทนทบต้น i% ในสิ้นปีที่ n จะมีเงินกี่บาท

ย้ายข้างกลับก็จะได้ present value คือ PV = FV / (1+i)^n ความหมายคือ ถ้าต้องการเงินอนาคตสิ้นปีที่ n เท่ากับ FV ด้วยผลตอบแทนทบต้น i% วันนี้ต้องลงทุนเท่าไร

ต่อยอดไปเรื่อยๆเป็น วิชาการการประเมินมูลค่า


4.การหาผลตอบแทน หรือการเติบโตเฉลี่ยแบบ CMPR



เริ่มจากอยากรู้ว่า เงินปัจจุบัน 100 บาท อีก 5 ปีกลายเป็นเงิน 400 บาท เงินงอกปีละเท่าไร

จากความรู้เรื่อง future value เรารู้ว่า 400 = 100 (1+i)^5
ย้ายสมการหาคา i จะได้ i = (400/100)^(1/5) - 1 = 0.32 แสดงว่าเงินโตปีละ 32%

สรุปเป็นสูตรทั่วไปคือ i = (FV / PV) ^(1/n) - 1
แปลเป็นภาษามนุษย์คือ เอาเงินอนาคตหารเงินปัจจุบัน ถอดรากจำนวนปี ค่าที่ได้ลบ 1

ส่วนใหญ่จะใช้งานในการหา การเติบโต ในสูตรของการประเมินมูลค่า เพราะเบื้องหลังของสูตรประเมินมูลค่าจะมาจากการคิดผลตอบแทนทบต้น ดังนั้นการหาการเติบโตเฉลี่ยแบบนี้จะเหมาะสมกว่า


5.การหาค่าเฉลี่ย


เวลาดูกราฟแล้วเห็นเส้นค่าเฉลี่ยตัดขึ้นซื้อตัดลงขาย การเข้าใจให้ลึกขึ้นจะต้องมองไปที่ที่มาของเส้นค่าเฉลี่ยว่าคืออะไร

ในเชิงสถิติ ค่าเฉลี่ย พารามิเตอร์ตัวหนึ่งที่ใช้เป็นการอธิบายลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง เหมือน นาย ก มีน้ำหนัก 10kg ถ้าเราอยากรู้ว่าทั้งบ้านของนาย ก 15 คนมีน้ำหนักเท่าไรก็จะใช้ค่าเฉลี่ยมาเป็นตัววัด

สูตรง่ายๆ คือ เอาค่าของกลุ่มตัวอยางมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวน

เช่นราคาหุ้น 5 วันย้อนหลังเท่ากับ 39 38 40 39 39.5 ราคาเฉลี่ย เท่ากับ (39 38 40 39 + 39.5) / 5 = 39.1 แปลว่าใน 5 วันที่ผ่านมาราคาหุ้นอยู่แถวๆนี้ละ

คนก็นำมาประยุกต์ได้หลากหลายเช่น เทรดด้วยกราฟของค่าเฉลี่ย ค่าค่าเฉลี่ยเริ่มสูงขึ้น (วันนี้สูงกว่าเมื่อวาน ) แสดงวาทิศทางราคาเริ่มมีการปรับตัวขาขึ้นโดย ใช้ค่าเฉลี่ยเป็นแนวร้บแนวต้านอะไรก็ว่ากันไป

ในการวิเคราะห์งบ ก็เอาค่าตัวบริษัทเอง เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของตัวเองในอดีต หรือค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ก็จะเห็นภาพได้ดีขึ้นว่าดีหรือแย่กว่าอุตสาหกรรมอย่างไร

จะเห็นว่าการที่เราเข้าใจที่มาที่ไปของสูตรต่างๆจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ลึกซึ้นมากขึ้น เยี่ยมจริง



ติดตามข่าวสารและสอบถามปัญหาคาใจได้ที่ (ถามได้ทุกเรื่องยกเว้นยืมเงิน)
line@ หยิบมือถือมาจิ้มเบาๆที่ลิงค์
เพิ่มเพื่อน

fanpage investidea.in.th





สัมมนาวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน ดูรายละเอียดและตารางอบรมได้ที่หน้าหลักสูตร
หรือสอบถามราบละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ Line; pat4310, หรือโทร 086-503-5023

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

เพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่


เพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่

การเพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่ อาจจะมาในรูปของการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย หรือการซื้อกิจการที่ดำเนินการอยู่แล้วเข้ามา

การค้นหาหุ้นประเภทนี้ ให้ตามอ่านข่าวใน SET ทุกวันเดียวก็จะมีข่าวที่ห้วข้อประมาณ สาระสนเทศแสดงการซื้อสินทรัพย์ พร้อมเรียกประชุม เขาก็จะบอกว่า ซื้ออะไร ขนาดรายการเท่าไร ถ้าเป็นสินทรัพย์ที่มีขนานใหญ่มากๆ จะต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นถ้าเราสนใจก็สามารถ ซื้อไว้ 100 หุ้นเพื่อเข้าประชุมได้

เครื่องมือในการวิเคราะห์ที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงคือ รายงานปรึกษาการเงินอิสระที่เป็นเอกสารแนบในวันประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติเพิ่มทุน เนื้อหาค่อนข้างเยอะแต่เราไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวหนังสือก็ได้ สิ่งที่ต้องเน้นๆ คือ หัวข้อการประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ โดยที่ปรึกษาทางการเงินจะทำประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตมาให้ หน้าที่เราคือเข้าไปวิเคราะห์ความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน  โดยพิจารณาจากสมมติฐานที่ถูกนำมาใช้ในการประมาณการ เช่นสมมติฐานทางด้านรายได้ รายจ่าย เงินทุนหมุนเวียน และการลงทุน

เพื่อเพิ่มความมั่นใจในที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็เอาสมมติฐานพวกนี้แหละไปถามในที่ประชุม เพราะวันนั้นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระจะเข้าร่วมประชุมด้วย สงสัยอะไรก็ถามได้เลย

ผลกระทบต่อกำไร ถ้าเราไปลงทุนซื้อธุรกิจที่มีกำไรอยู่แล้ว ให้เราดูว่าบริษัทที่ซื้อมา มีกำไรเท่าไร แล้วจับคูณสัดส่วนการถือหุ้นจะได้กำไรของบริษัทที่เติบโต ถ้าอนาคตกำไรโตมากกว่าสัดส่วนของหุ้นที่เพิ่มก็สมควรที่จะใส่เงินเพิ่มได้

การดูว่าซื้อกิจการมาแล้วดีหรือไม่  ดูเทียบกับกลยุทธ์ขององค์กรด้วยว่าสอดคล้องกันหรือไม่ ถ้าจะไปซื้อกิจการเพื่อหวังว่าจะลดต้นทุน ผลในงบรวมก็ควรจะมีอัตรากำไรสูงขึ้น การมองผลของธุรกิจโดยรวมให้ดูที่ ROA ถ้าไปลงทุนแล้ว ROA ตกลงแปลว่าใช้เงินไปไม่คุ้มเพราะลงทุนแล้วได้ผลตตอบแทนที่ต่ำกว่าเดิม

ตัวอย่างหุ้นที่เพิ่มทุนมาทำธุรกิจใหม่เช่น
TCMC ไปซื้อโรงงานเฟอร์นิเจอที่อังกฤษ
ลักษณะการเข้าทำรายการ
ผลประกอบการของบริษัทที่เข้าซื้อ
ที่มา
http://www.set.or.th/dat/news/201505/15043469.pdf
http://www.set.or.th/dat/news/201505/15043471.pdf

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แนวทางการจัดการความเสี่ยงอย่างง่าย

ความเสี่ยงยังไงก็หนีไม่พ้น จะอยู่กับมันอย่างไรให้ชิวๆ ขั้นตอนคร่าวๆดังนี้

1.ระบุความเสี่ยง
นึกอะไรได้เขียนไป

2.ระบุความน่าจะเป็นและผลกระทบ
เหตการจากข้อ1มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดมากน้อย และผลกระทบมากน้อย เท่าไร

3.จัดกลุ่มความเสี่ยง
ได้รู้ว่าอันไหนสำคัญมากน้อยแบ่งง่ายๆเป็น

  • ความน่าจะเป็นมากผลกระทบน้อย
  • ความน่าจะเป็นมากผลกระทบมาก
  • ความน่าจะเป็นน้อยผลกระทบน้อย
  • ความน่าจะเป็นน้อยผลกระทบมาก

4.จัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงมี หลัก 4 ข้อคือ [1]

  • Transfer การโอนความเสี่ยง เช่นประกัน การใช้ตราสารอนุพันธ์
  • Threat รับความเสี่ยง เราอาจชนะก็ได้ ไม่ชนะเราก็เจ็บไม่มาก (เราประเมินแล้วว่ารับผลกระทบได้) เช่น ถือหุ้นไปไม่ต้องทำอะไร หุ้นสวิงไปมาในกรอบที่รับได้ ทำธุรกิจ ขายต่างประเทศ อาจไม่ซื้อฟอร์เวิร์ด เพราะค่าเงินสวิงไม่แรง เป็นต้น นี่เรียกว่า Threat
  • Terminate หลีกเลี่ยงหรือยกเลิกไปไม่ทำในทางที่พบกับความเสี่ยง ไม่ซื้อหุ้นก็ไม่ขาดทุน ไม่กำไร
  • Protection ป้องกันไม่ให้เกิด บางคนจะสับสนกับแบบแรกและสาม การป้องกันมักจะใช้ในแง่การออกทางปฏิบ้ติไม่ให้เจอความเสี่ยง เช่นห้ามสูบบุหรี่ในปั๊มน้ำม้น ทำปั๊มน้ำมันอย่างไรก็เสี้ยงเรื่องการเกิดเพลิงไหม้ ราคาน้ำมันขึ้นลง เราป้องกันได้ด้วยการซื้อฟิวเจอร์น้ำมัน อัคคีภัยเราก็ซื้อประกัน แต่ไม่ใช่ว่าซื้อประกันแล้วมันจะไหม้จะระเบิดเราก๋ไม่สน เราก็ไม่อยากให้เกิดง่ายๆ อาจต้องมีกฎควบคุมกิจกรรมพนักงานและลูกค้าไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงอีก เหมือนข้บรถ เราก็มีประกันรถชั้นหนึ่ง แต่เราก็ยังคงระวัง เมื้อเลี้ยวก็เปิดไฟเลี้ยว เช็คน้ำมันเบรค พักผ่อนให้พอ ที่กล่าวมาก็คือ Protection
ความเสี่ยงถ้าจัดการดีแล้ว อะไรจะเกิดก็ทำตามแผนไป โชคดีทุกท่าน

[1]https://www.facebook.com/pat4310/posts/1029509797073796

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตารางวางแผนการเงินให้ถึงสิ้นเดือน


เมื่อถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต จุดที่เงินเดือนใกล้หมดตั้งแต่ยังไม่สิ้นเดือน การจะอยู่รอดถึงสิ้นเดือนเราต้องวางแผนเป็นอย่างดี ผมมได้ทำตาราง excel สามารถวางแผนชีวิตได้ ง่ายๆแค่ใส่สมมติฐานทางการเงินที่ช่องสีเหลือ จากนั้นตารางจะคำนวณ ทุกอย่างให้เอง เหลือแค่ทำตามแผนเท่านั้น



เริ่มต้นจากการกรอกข้อมูลเบื้อต้น โดยนับเงินในกระเป้าก่อนว่าเหลือเท่าไร,หลืออีกกีวันถึงสิ้นเดือน และเรามีค่าใช้จ่ายคงที่ต่อวันเท่าไรเช่นค่าเดินทางที่ยังไงก็ต้องจ่ายลดไม่ได้ ตารางจะคำนวณมาให้ว่าหักต้นทุนคงที่แล้วเหลือเงินกินเท่าไร และเฉลี่ยกี่บาท

ตารางที่สองจะเป็นการคำนวณว่าจากเงินที่เหลือจะสามารถซื้อของอะไรตุนไว้ได้บ้าง โดยทำสินค้าไว้ 10 ชนิด ใส่ค่าราคาไป ตารางจะคำนวณให้ว่าซื้อได้มากสุด (max) เท่าไร ให้เราใส่จำนวน ตารางจะคำนวณให้ว่าใช้เงินเท่าไร และเหลือบไปดูยอดรวมว่าใช้เงินไปเท่าไร และเหลืออีกเท่าไรก็พยายามจัดสรรปันส่วนให้พอดีครับผม

ไอเดียเพิ่มเติมจัดสรรเงินครับ
เครียดจัด เหลือเงินติดบัญชี 1800 บาท จะอยู่ยังไงให้ถึงสิ้นเดือน
http://pantip.com/topic/31208626
ชีวิตย่ำแย่ เหลือเงินติดตัว 300 บาท จะอยู่ถึงสินเดือนยังไง
http://pantip.com/topic/31951701
มีงบเหลืออยู่ 200 ต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือน ทำอะไรกินดีคะ
http://pantip.com/topic/31563689
300 บาท กับอีก 7 วัน ที่เงินเดือนจะออก จะรอดหรือไม่?
http://pantip.com/topic/33543256

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เครื่องคำนวณ dilution effect สำหรับ เพิ่มทุน แจก warrant และหุ้นปันผล



ถ้าหุ้นมีการเพิ่มทุน แจกหุ้นปันผล แจก warrant ผลสุดท้ายเหมือนกันคือทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ถ้ากำไรในอนาคตโตไม่ทันหุ้นที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้ กำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลง หุ้นจะตก คนจะติดดอย เพื่อช่วยในการตัดสินใจ ผมได้ทำเครื่องมือในการคำนวณ Dilution effect ไว้ครับ ใช้ง่ายมากเปลี่ยนตัวเลขในช่องเหลืองๆ ได้เลย




การเพิ่มทุน

 จากสมการทุนจดทะเบียน = ราคาพาร์ x จำนวนหุ้น การเพิ่มทุนมีสาเหตุมาจากบริษัทต้องการเงิน อาจจะเพื่อลงทุนโครงการใหม่ ลดภาระหนี้ เป็นเงินทุนหมุนเวียน ฯลฯ ก็ประการเรียกเพิ่มทุน โดยเพิ่มจำนวนหุ้นและให้นักลงทุนใส่เงินเพิ่มเข้ามาในทุนจดทะเบียนชำระแล้ว

ถ้าหุ้นมีการเพิ่มทุน ราคาจะตกวันขึ้นเครื่องหมาย XR ในการตัดสินใจว่าจะใส่เงินดีหรือไม่ เราต้องสามารถคำนวณ Control dilution และ Price dilution ให้ได้ โดยกรอกข้อมูลในตารางดังนี้

  • ราคาก่อน XR เป็นราคาสุดท้ายก่อนวันขึ้นนเครื่องหมาย ต้องประมาณราคาเอา
  • ราคาเพิ่มทุน 
  • สัดส่วนการเพิ่มทุน เขาจะบอกเป็นสัดส่วนหุ้นเดิมต่อหุ้นใหม่
ตารางจะคำนวณผลกระทบดังนี้
1 Control dilution
บอกว่าหลังการเพิ่มทุนถ้าเราไม่ใส่เงินเพิ่มทุนสัดส่วนการถือหุ้นของเราลดลงไปเท่าไร แต่ถ้าเราใส่เงินเพิ่มทุนตามสัดส่วน สัดส่วนการถือหุ้นก็ยังไม่หาย สูตรการคำนวณคือ
Control dilution = หุ้นใหม่/(หุ้นเดิม+หุ้นใหม่)*100
2 มีหุ้นเพิ่ม?
สูตรคือ หุ้นเพิ่ม = หุ้นใหม่/หุ้นเดิม*100 จะบอกว่าเพิ่มทุนแล้วมีหุ้นเพิ่มมากี่ % 

3 ราคาวัน XR
สูตรการคำนวณคือ ราคาวัน XR = ((ราคาก่อน XR x หุ้นเดิม) + (ราคาเพิ่มทุน x หุ้นใหม่)) / ( หุ้นเดิม + หุ้นใหม่)


3 price dilution
บอกว่าราคาวัน xr จะตกไปกี่ %
price dilution = (ราคาวัน xd - ราคาก่อน xd)/ราคาก่อน xd * 100

การตัดสินใจ่
ช่วงก่อนคณะกรรมการมีมติเพิ่มทุนราคามักจะขึ้น ตามขั้นตอนคือต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ขอมติที่ประชุม 3 ใน 4 แต่หลังจากนั้นราคาจะไปได้ทั้งสองทาง คือราคาขึ้นต่อให้คนใส่เงินเพิ่มทุนแล้วมีกำไร กับราคาลงแบบไร้แนวรับเพื่อให้คนจำใจใส่เงินเพิ่มทุนเพื่อถัวขาดทุน

วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XR ราคาเปิดจะตกมาที่ตาม "ราคาวัน XR" หรือคิดเป็น % ที่ price dilution ซึ่งเป็นราคาที่เท่ากับต้นทุนของคนที่ใส่เพิ่มทุน ซึ่งคือราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนหุ้นเดิมและหุ้นใหม่นั่นเอง ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคานี้แสดงว่าคนใส่เงินเพิ่มทุนแล้วคุ้ม แต่ถ้าราคาหล่นเกิน "ราคาวัน XR" แสดงว่าคนที่ซื้อหลัง XR มีต้นทุนถูกกว่าคนใส่เงินเพิ่มทุน

เมื่อเพิ่มทุนแล้วทิศทางของราคาในอนาคตจะเป็นอย่างไรให้พิจารณาจากช่อง "มีหุ้นเพิ่ม" จะบอกว่าหลักเพิ่มทุนแล้วมีหุ้นใหม่เพิ่มมากี่ % ถ้าวิเคราะห์แล้วกำไรในอนาคตโตไม่ทันจำนวนหุ้นที่เพิ่ม EPS จะลดลง แต่ถ้ากำไรอนาคตโตมากว่าหุ้นที่เพิ่ม EPS ก็จะสูงขึ้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นต่อ โดยปกติถ้าเป็นการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนธุรกิจใหม่มักมีรายงานที่ปรึกษาการเงินอิสระทำประมาณการกำไรให้อ่าน หน้าที่เราคือเข้าไปวิเคราะห์ความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน ถ้ามั่นใจว่าโตแน่ๆก็ใส่เงินเพิ่มได้

หุ้นปันผล
หลายบริษัทที่ มีโครงการใหญ่ต้องลงทุนอีกมาก มักไม่จ่ายปันผลเป็นเงินสด แต่จะจ่ายปันผลเป็นหุ้นแทน (สินทรัพย์ = หนี้ + ทุน(ทุนจดทะเบียนเพิ่ม,กำไรสะสมลด) ) เมื่อจ่ายหุ้นปันผลแล้วทิศทางราคาในอนาคตจะเป็นอย่างไรให้พิจารณาจากช่อง "มีหุ้นเพิ่ม" ถ้าวิเคราะห์แล้วกำไรอนาคตโตมากว่าหุ้นที่เพิ่ม EPS ก็จะสูงขึ้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นต่อ แต่ถ้ากำไรโตไม่ทันก็แปลว่าบริษัทกำลังทำลายมูลค่าหุ้นตัวเองเพราะ EPS จะต่ำลง

แจก warrant
warrant ตราสารที่คนถือ warrant สามารถใช้สิทธ์แปลงเป็นหุ้นได้ในอนาคต โดยจ่ายเงินเพิ่มเท่ากับราคาใช้สิทธ์ ผลกระทบเหมือนการเพิ่มทุนคือมีหุ้นเพิ่มในอนาคตถ้ากำไรในอนาคตโตไม่ทันจำนวนหุ้นที่เพิ่มราคาหุ้นก็จะตกในอนาคต จากตารางเป็นการคำนวณหุ้น warrant ของ Jas ที่ warrant มีอายุ 5 ปี ถ้าใน 5 ปีมีหุ้นเพิ่มมา 50%  แสดงว่า jas ต้องทำกำไรเติบโตเฉลี่ย 50/5=10% ต่อปีเพื่อให้กำไรโตทันหุ้นที่เพิ่ม

warrant กับการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ในภาวะสมดุล ราคา warrant + ราคาใช้สิทธ์จะเท่ากับ ราคาหุ้นแม่  ถ้าแม่ขยับ 1 บาท หุ้นลูกก็จะขยับ 1 บาทเช่นกัน เพื่อห้ราคาสมดุล เช่น ราคา warrant 1 บาท ราคาหุ้นแม่ 5 บาท ราคาใช้สิทธื 4 บาท ราคาจะอยู่สภาวะสมดุลพอดี (1 + 4 = 5) ถ้าราคาแม่ขยับจาก 5 ไป 6 ราคาหุ้นลูกจะขยับจาก 1 ไป  2 เพือให้ราคาสมมดุลเนื่องจากราคาใช้สิทธ์ จะไม่ขยับ (2 + 4 = 6) ยิ่งราคาตัวลูกห่างจากตัวแม่มากเท่าไร อัตราทดยิ่งสูงครับ จากตัวอย่างอัตราทด (gearing ratio) คือ 5/1 =5 แสดงว่าถ้าแม่ขยับ 1 หน่วย ราคา warrant จะขยับมากกว่าตัวแม่ 5 เท่า ไม่รวยก็จนไปเลย

วิธีลงทุนในตัวลูกให้ปลอดภัย ต้องดู 3 เรื่องคือ 1. หุ้นแม่ต้องมี upside อีกไกล 2. ราคา warrant + ราคาใช้สิทธ์ ต้องไม่ห่างจากราคาหุ้นแม่มาก สามารถเข้าไปดูได้ที่ siamchart.com/stock/W ซึ่งทางเว็บจะคำนวณราคาให้ว่ามีส่วนต่างมากน้อยเพียงไร 3. หุ้นลุกต้องมีอายุเหลืออีกยาวๆ เพราะถ้า warrant หมดอายุก่อนที่จะขึ้น เราต้องลำบากหาเงินเพิ่มเพื่อแปลงเป็นแม่อีก ถ้าครบ 3 เงือนไขก็ลงทุนได้ครับผม

ช่วงที่ warrant ใกล้ๆหมดอายุเป็นวันวัดใจครับ ถ้า ราคา warrant + ราคาใช้สิทธ์ มากกว่า ราคาแม่ ก็จะไม่มีคนแปลง ถ้าบริษัทต้องการเงินจากการแปลง warrant มาใช้จะเกิดสิ่งมหัศจรรครับ ราคาแม่จะวิ่งแบบหูดับตับใหม้จนคุ้มที่จะแปลง บริษัทก็จะได้เงิน แต่ในบางครั้ง บริษัทไม่ต้องการเงินจาก warrant ก็กดราคาแม่จนคนไม่คุ้มที่จะแปลงก็ไม่มีคนแปลงจาก warrant เป็นหุ้นแม่ บริษัทก็จะไม่มีหุ้นเพิ่ม กำไรต่อหุ้นก็ไม่ลด

ปัจจุบันมีกระแสแปลกๆ หลายบริษัทมองการแจก warrant เหมือนเงินปันผลก็มี ถ้าผู้ถือหุ้นได้ warrant มาก็ขายในตลาดทิ้ง ได้เงินสด แถมขายในตลาดไม่ต้องเสียภาษีเหมือนเงินปันผล เทคนิคของบริษัทเหล่านี้คือแจก waarrant โดยตั้งราคาใช้สิทธ์สูงๆ กะว่าวันที่ warrant หมดอายุ ไม่มีใครใช้สิทธ์แน่ๆ จำนวนหุ้นก็ไม่เพิ่ม เช่นราคาในตลาด 6 บาท ออก warrant ที่ราคาใช้สิทธ์ 30 บาทเป็นต้น



วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สรุปวิเคราะห์หุ้น VI ในสมการเดียว

หลัก VI คือหาหุ้นดี ราคาไม่แพงเวอร์แล้วถือๆไป ความยากคือเราต้องหาหุ้นที่โตยาวๆ ให้ได้ไม่ใช่โตได้ปี สองปีก็จบ จากสมการการเติบโต
สรุป VI

g = ROE x (1 - b)

g ที่คำนวณได้ภาษาฝรั่งเขาเรียก  Sustainable Growth คือการเติบโตของบริษัท ที่ไม่ได้รบกวนผู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนให้กำไรสะสมมาลงทุนโตไปเรื่อยๆ จะถือยาวๆก็ต้องดูทิศทางลมคือการเติบโตของอุตสาหกรรมด้วยว่า ตอนนี้อยู่ช่วงไหน เริ่มต้น เติบโต อิ่มตัว ถดถอย

g = การเปลี่ยนแปลงของกำไรต่อหุ้น(EPS)เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง
หุ้นที่จ่ายปันผลเป็นหุ้นมาก บริษัทจะต้องทำกำไรสุทธิให้โตมากกว่าสัดส่วนของหุ้นที่เพิ่ม ไม่งั้นจะทำให้ EPS ไม่โต ยกตัวอย่าง HMPRO จ่ายหุ้นปันผลทุกปีช่วงหลังๆ กำไรโตไม่ทัน EPS เริ่มลดลง

ROE = กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น
เมื่อ ROE สูงขึ้นบริษัทจะโตมากขึ้น แต่เราต้องการหุ้นถือยาวๆดังนั้นบริษัทที่โตดี ROE ควรจะสม่ำเสมอ
= กำไร/ยอดขาย x ยอดขาย/สินท่รัพย์ x สินทรัพย์/ส่วนของผู้ถือหุ้น
= อัตรากำไรสุทธิ x อัตราหมุนเวียนทรัพย์สิน x อัตราส่วนสินทรัพย์/ส่วนของผู้ถือหุ้น
แสดงว่าบริษัทจะโตยั่งยืนได้ ต้องรักษาการทำกำไร อัตราหมุนเวียนทรัพย์สิน และ สัดส่วนหนี้ให้สม่ำเสมอ ด้วย

เมื่อ b หรืออัตราจ่ายปันผลมากขึ้นจะโตลดลง หุ้น VI ที่ดีควรจ่ายปันผลแต่พอดี และควรจ่ายปันผลจากเงินสดจากการดำเนินงาน

ถ้าบริษัทจัดการดี มูลค่าหุ้นก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ P = D/(k-g) นักลงทุนก็ยิ่มแก้มปริ เยี่ยมจริง

แนะนำให้อ่านหนังสือ แกะงบการเงินไสตร์ VI ของ อ.สรรพงษ์ เพิ่มเติม

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการประเมินกำไรในอนาคต

การประเมินกำไรในอนาคต บทความจากคุณ road to billion เขียนลงใน Thaivi [1] [2] [3]

การรู้จักการประเมินกำไรล่วงหน้าอย่างถูกต้องจะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น เพราะนอกจากจะสามารถประเมินอัตราการเติบโตและความถูกแพงของหุ้นได้ถูกต้องแม่นยำขึ้นแล้ว การมีโมเดลในการประเมินกำไรจะเป็น “เครื่องจับโกหก” ชั้นดีที่เราสามารถนำไปใช้ในการประเมินความเป็นไปได้ของสิ่งที่ผู้บริหารพูดหรือสิ่งที่นักวิเคราะห์เขียนไว้ในบทวิจัย การที่เราสามารถใช้เครื่องมือตรงนี้ได้อย่างแม่นยำจะทำให้เราได้เปรียบนักลงทุนทั่วๆไปที่ไม่มีเครื่องมือตรงนี้

แต่ก่อนที่จะเริ่มประมาณการผลกำไร เราต้องเข้าใจคุณภาพของธุรกิจก่อน เราต้องสามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมี "จุดตาย" หรือ "ข้อควรระวัง" อยู่ตรงไหน และอะไรเป็นประเด็นที่สำคัญ เช่น ธุรกิจเกษตรจะมีราคาขายผันผวนตามสภาวะตลาด ซึ่งจะมีผลต่อการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น ธุรกิจโรงแรมจะมีความผันผวนตามฤดูกาล เพราะฉะนั้นงบในไตรมาส 1 และ 4 จะสูงกว่าอีกสองไตรมาสมาก การวิเคราะห์ประเด็นเหล่านี้จะทำได้ถ้าเราเข้าใจความเสี่ยงและโครงสร้างรายได้และต้นทุนของกิจการ การประเมินโดยขาดความเข้าใจในคุณภาพของกิจการจะทำให้เกิด Garbage In, Garbage Out (ขยะเข้า ขยะออก) หรือถ้าพูดง่ายๆคือความถูกต้องของการประเมินกำไรในอนาคตจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของการประเมินธุรกิจ ซึ่งในบทความนี้ผมจะไม่กล่าวถึงการวิเคราะห์เชิงคุณภาพแต่จะบอกว่าการวิเคราะห์เชิงคุณภาพจะทำให้เรารู้ว่า "สมมติฐาน" ข้อไหนมีความสำคัญต่อการประเมินกำไรในอนาคตของเรา

หลังจากประเมินมูลค่าเชิงคุณภาพแล้วเราก็สามารถเริ่มต้นทำการประมาณการกำไรได้ โดยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนง่ายๆดังนี้


  1. สร้างโมเดลในการประเมิน (Creating a Model)

    สามารถทำได้โดยทำการป้อนข้อมูลตัวเลขทางการเงินย้อนหลัง (จากงบการเงิน) เราจะกรอกข้อมูลย้อนหลังลงในไฟล์ Excel อย่างน้อย 3 ปี (ถ้าอยากเห็นแนวโน้มของธุรกิจมากขึ้น ผมแนะนำ 5 ปี) โดยที่เราจะกรอกตัวเลขแต่ละบรรทัดและทำการคำนวณกำไรสุทธิออกมา (เราจะไม่กรอกกำไรสุทธิลงไปตรงๆ) เราจะนำกำไรสุทธิที่คำนวณได้ไปเปรียบเทียบกับตัวเลขในงบการเงิน ถ้าตรงก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ตรงแสดงว่า 1) สูตรผิด 2) ตัวเลขที่เรากรอกไม่ถูกต้อง เราต้องหาจนเจอจุดผิด (ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากๆสำหรับคนที่พึ่งจะเริ่มทำโมเดลใหม่ๆ) เพราะไม่งั้นการประมาณการเราจะผิดทั้งหมด แต่ถ้าเราทำได้แล้วเราก็จะมีโมเดลที่พร้อมแล้วสำหรับการการประเมินกำไรต่อไป 
  2. กำหนดสมมติฐาน (Set Assumptions)

    สามารถทำได้โดยดูแนวโน้มของการเติบโตของยอดขาย อัตราการทำกำไรย้อนหลัง และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ผู้บริหารให้มา หลังจากเปรียบเทียบแล้วเราจะทราบว่าผู้บริหารให้ Guidance ต่ำหรือสูงเกินไป เช่น ถ้าธุรกิจมีรายได้เติบโตแค่ปีละ 3% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาแต่ปีนี้ผู้บริหารให้เป้า 20% เราต้องสงสัยแล้วว่าจะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้บริษัทเติบโตได้ขนาดนั้น หลังจากนั้นเราก็ต้องทำการ “เลือกเชื่อ” ว่าเราจะนำตัวเลขไหนมาใช้ในการประเมินกำไร 
  3. ประเมินกำไรจากสมมติฐาน (Forecasting)

    โดยนำตัวเลขสมมติฐานที่ได้มาทำการประมาณการกำไร ตัวเลขเหล่านี้ควรรวมถึง (แต่อาจจะมีมากกว่านี้) อัตราการเติบโตของยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของยอดขายรวม อัตราภาษี ค่าใช้จ่ายทางการเงิน ในบางธุรกิจอาจจะมี กำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายจากการขายสินทรัพย์ และอื่นๆ ซึ่งวิธีการประเมินอาจจะขึ้นอยู่กับว่ารายการนั้นมีนัยสำคัญต่อการประเมินของเราหรือไม่ ถ้าไม่มีก็สามารถตัดทิ้งได้ แต่ถ้ามีเราอาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติม
  4. เปรียบเทียบตัวเลขที่ทำได้กับแหล่งอ้างอิงอื่นๆ (Benchmarking)

    นำตัวเลขที่ได้มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผู้บริหารให้ไว้ รวมถึงเปรียบเทียบตัวเลขกับบทวิเคราะห์ว่าผลกำไรที่เราประเมินได้มากหรือน้อยกว่าอย่างไร อยากให้ตั้งข้อสังเกตว่าการที่ได้ตัวเลขใกล้เคียงกับนักวิเคราะห์อาจจะไม่ได้แปลว่ามันถูกต้องเสมอไป การได้ตัวเลขที่น้อยกว่าหรือมากกว่ามากๆบางครั้งอาจจะถูกก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่สมมติฐานของเรา สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องตอบให้ได้ว่า “ทำไม” ตัวเลขเราถึงแตกต่างกับคนอื่นๆ
  5. ติดตามและอัพเดทงบรายไตรมาส (Earning Review)

    ทุกครั้งที่งบออก เราจะป้อนข้อมูลงบล่าสุดเทียบกับประมาณการที่เราทำไว้สำหรับทั้งปี เช่นถ้ายอดขาย 6 เดือนแรกโต 50% แต่เราทำประมาณการไว้ 10% แสดงว่าเราอาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมหรืออาจจะต้องศึกษาดูว่ากำไรที่โตเยอะมากเกิดจากเหตุการณ์พิเศษอะไรรึเปล่า แล้วเราก็ควรจะปรับโมเดลตามข้อมูลใหม่ที่เราได้รับมา 
ช่วงที่ผมเป็นนักวิเคราะห์กองทุนใหม่ๆผมมักจะเจออาการ “โดนหลอก” เป็นประจำ เพราะผมเชื่อ 100% ในสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมาทำให้ตัวเลขที่ได้บางครั้งก็สูงเกินไป (ทำให้เราไม่ได้ระวังตัว) บางครั้งก็ต่ำเกินไป (ทำให้เราไม่กล้าซื้อ) เพราะฉะนั้นการประเมินกำไรให้ได้แม่นยำ ต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม ความช่างสังเกต ประสบการณ์ในการลองผิดลองถูก แต่สิ่งที่ได้รับคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งในการเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า

อ่านจบแล้วก็อย่าลืมหยิบงบการเงินของหุ้นตัวโปรดแล้วมาลองทำการประเมินกำไรดูครับ การอธิบายเป็นคำพูดอาจจะมีข้อจำกัด เพราะฉะนั้นถ้ามีข้อสงสัยหรือคำแนะนำตรงไหนก็ถามกันได้ครับ

ตอนหน้าผมจะมาพูดถึงวิธีการวิเคราะห์และการประเมินงบในแต่ละบรรทัดว่าเราจะทำการประเมินได้อย่างไร และมีข้อควรระวังอะไร มาวิเคราะห์แบบเจาะลึกไปเลย ติดตามอ่านกันได้


การประมาณการกำไร

ในบทความ “การประเมินกำไรในอนาคต ตอนที่ 1” เราได้พูดถึงขั้นตอนในการประเมินกำไรทั้ง 5 ขั้นตอนแล้ว http://www.thaivi.org/การประเมินกำไรในอนาคต-ต/ ในบทความนี้เราจะลงในรายละเอียด โดยจะกล่าวปัจจัยที่มีผลต่อกำไรอย่างละเอียดมากขึ้น

รายได้


หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัว มักจะมีการเติบโตของรายได้ที่สม่ำเสมอ การประเมินรายได้ของหุ้นพวกนี้อาจจะใช้อัตราการเติบโตในอดีตได้ แต่สำหรับหุ้นที่มีรายได้ในอดีตไม่สม่ำเสมอ ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรเศรษฐกิจ หรือบริษัทที่มีผู้บริหาร ผลิตภัณฑ์ หรือหน่วยธุรกิจใหม่ๆ การใช้ตัวเลขในอดีตอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด เราอาจจะต้องอาศัยข้อมูลการจากทางผู้บริหารประกอบ อย่างไรก็ตามเราต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของรายได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีลูกค้าน้อยราย หรือบริษัทที่ไม่มีลูกค้าประจำหรือไม่สามารถกำหนดราคาขายแน่นอนได้ บริษัทเหล่านี้เราต้องมี “ส่วนเผื่อสำหรับข้อผิดพลาด” ไว้บ้าง

การประมาณการอัตราการทำกำไร


ต้นทุนของธุรกิจหลักๆมีสองส่วนคือ ต้นทุนในการขาย (Cost of Good Sold หรือ COGS) และค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (Sale, General & Admin หรือ SG&A) ในการวิเคราะห์เราต้องมองให้ออกว่าทั้ง COGS และ SG&A มีส่วนไหนบ้างที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ และส่วนไหนเป็นค่าใช้จ่ายทีแปรผันตามยอดขาย ธุรกิจโรงแรมจะมีค่าใช้จ่ายคงที่ค่อนข้างเยอะจากค่าเสื่อมราคา ทำให้การเพิ่มขึ้นของยอดขายในวัฏจักรขาขึ้นจะทำให้อัตราการทำกำไรเติบโต (รายได้เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยกว่า) แต่ในขณะที่ธุรกิจเกษตรอาจจะมีต้นทุนแปรผันเยอะ เพราะฉะนั้นการเพิ่มขึ้นของยอดขายอาจจะไม่ได้ถึงอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น (สำหรับธุรกิจนี้ ต้องมองกันที่ราคาขายและราคาของวัตถุดิบเป็นหลักๆ)

การใช้อัตราส่วนในอดีตจะสามารถใช้ได้แต่เราต้องดูผลกระทบที่บริษัทจะได้รับในปีปัจจุบัน ซึ่งอาจจะมาจากค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค หรือค่าแรงที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ของธุรกิจ ส่วนมากแล้วทางบริษัทจะสามารถให้ข้อมูลได้ว่าแนวโน้มของอัตราการทำกำไรในปีนี้จะเป็นยังไง แต่ก็อย่าลืมถามถึง “เหตุผล” ที่จะเป็นอย่างนั้นด้วยนะครับ เราจะได้นำมาวิเคราะห์ต่อได้

ต้นทุนทางการเงินและกระแสเงินสด


สองอย่างนี้ใกล้กันจนหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ บริษัทที่มีกระแสเงินสดดีจะมีเงินเหลือไปจ่ายหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน แต่สำหรับบริษัทที่ต้องใช้Working Capitalหรือเงินลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมาก อาจจะต้องอาศัยการกู้ยืมที่มากขึ้นถ้าธุรกิจจะต้องการเติบโต การวิเคราะห์โดยละเอียดจะทำได้ยากสำหรับคนที่ไม่ใช่นักวิเคราะห์มืออาชีพ แต่เราสามารถทำได้คร่าวๆโดยการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด ถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานหักด้วยเงินที่ใช้ในการลงทุนติดลบมากๆ บริษัทจำเป็นต้องจัดหาเงินจากแหล่งอื่นๆ ซึ่งอาจจะหมายถึงการกู้เงินจากธนาคารหรือการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น สมมติว่าบริษัทต้องใช้

อัตราภาษี


ค่าใช้จ่ายบางประเภทไม่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาษีได้ เช่น การตั้งสำรองหนี้เสีย ทำให้อัตราการจ่ายภาษี (“ภาษีจ่าย” หารด้วย “กำไรก่อนหักภาษี”) มีอัตรามากกว่าปรกติ แต่ในบางกรณีบริษัทอาจจะจ่ายภาษีน้อยกว่าฐาน 20% เนื่องจากได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น BOI การประเมินภาษีทำได้ยาก ถ้าอัตราการจ่ายภาษีในอดีตไม่ได้ผันผวนมากผมก็จะใช้ตัวเลขเดิม แต่ถ้าผันผวนประเมินยาก ผมจะโทรถามข้อมูลส่วนนี้จากทางเจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์โดยตรงเลย ซึ่งจะแม่นยำกว่าการคาดเดาของเราแน่นอน

ผลกระทบจาก Dilution


การออก Warrant การเพิ่มทุน การจ่ายหุ้นปันผล จะทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้กำไรต่อหุ้นลดลง นักลงทุนหลายท่านประเมินมูลค่าโดยที่ยังไม่ได้นำหุ้นส่วนเพิ่มนี้มารวม ทำให้ได้ตัวเลขกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงเกินจริง สุดท้ายแล้วเราต้องไม่ลืมว่าการเติบโตของ EPS ในระยะยาวจะเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด

ข้อผิดพลาดในการประเมินกำไร


สุดท้ายแล้วหุ้นแต่ละตัว ในแต่ละอุตสาหกรรมก็จะมีปัจจัยที่มีผลต่อรายได้และกำไรแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการประเมินกำไรให้แม่นยำ จำเป็นต้องอาศัยการสะสมประสบการณ์ (รวมถึงข้อผิดพลาด) ในการวิเคราะห์ธุรกิจและประเมินกำไรในอนาคต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการทั้ง 5 ข้อที่ผมได้กล่าวถึงในบทความก่อนหน้านี้ http://www.thaivi.org/การประเมินกำไรในอนาคต-ต/  ถ้ากระบวนการถูกต้องแล้ว ในท้ายที่สุดเราจะได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ ถ้าเราผิดพลาดตรงไหนก็ค่อยๆปรับแก้ไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องคอยประเมินตัวเองอยู่เสมอ ในบทความหน้า ผมจะมาพูดถึงข้อผิดพลาดในการประเมินกำไรในอนาคตที่นักลงทุนชอบทำกัน ติดตามกันได้ครับ

ในทางทฤษฎีการประเมินกำไรเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่ยาก แต่เหมือนกับทุกอย่างในโลกนี้ โลกความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้มุมมองภาพกว้างๆประกอบการตัดสินใจ ผมได้หยิบยก “ข้อผิดพลาด” จากประสบการณ์ของตัวเองและของนักลงทุนหลายนๆท่านที่ผมมีโอกาสได้การสอนและให้ความรู้ เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับหลายๆคน สรุปออกมาแบบง่ายๆให้ทุกคนได้อ่านกันแบบไม่ต้องจ่าย “ค่าเล่าเรียน” ด้วยตัวเอง

ไม่ได้วัดผลการประเมินของตัวเอง


การประเมินกำไรที่ดีก็เหมือนกับการยิงปืน ยิงไปแล้วเราก็ต้องดูว่ามันเข้าไปหรือเปล่า สูงไปมั้ย? ต้องขยับซ้ายอีกรึเปล่า? ถ้าเราประเมินกำไรแล้ว ไม่เคยเอามาเปรียบเทียบกับตัวเลขจริงๆ เราก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากระบวนการในการประเมินของเรานั้นถูกต้องแค่ไหน ปรกติแล้วผมจะอัพเดทข้อมูลทุกๆไตรมาส และจะทำละเอียดๆหลังจากงบปีออก ผมจะทำการเปรียบเทียบดูว่างบที่ออกมาเมื่อเทียบกับที่เราทำไว้เป็นอย่างไร? อัตราการเติบโตของยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ต้นทุนทางการเงิน อัตราภาษี และสุดท้ายกำไรต่อหุ้น งบที่ออกมาในไตรมาสนั้นสูงหรือต่ำเกินกว่าที่เราประเมินไว้อย่างมีนัยสำคัญ (เกิน 10%) ผมก็จะพยายามหาเหตุผลว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร สมมติฐานที่ผมมีเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆยังถูกต้องอยู่หรือไม่ ขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการพัฒนาตัวเองที่จะทำให้ความแม่นยำเราดีขึ้นอย่างมาก

ไม่ได้ทำการ BENCHMARK ตัวเลข


แน่นอนว่าการเปรียบเทียบกับตัวเลขจริง เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุด แต่บางครั้งเราก็อยากจะรู้ว่าตัวเลขที่เราทำออกมาเป็นอย่างไรก่อนที่จะรู้ผล วิธีที่ทำได้ง่ายและเร็วที่สุดคือการเปรียบเทียบตัวเลขของเรากับบทวิเคราะห์ โดยหลักผมจะเปรียบเทียบการเติบโตของยอดขาย อัตราการทำกำไร และกำไรต่อหุ้น ในอีก 3 ปีข้างหน้า กับบทวิเคราะห์อย่างน้อยซัก 2 – 3 ฉบับ หลายครั้งผมก็อาจจะโทรไปคุยกับนักวิเคราะห์เพื่อสอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวสมมติฐานของงบการเงิน ในโลกของการลงทุน นักวิเคราะห์จะเป็นคนที่ได้รับข้อมูลดีที่แม่นยำและรวดเร็วที่สุด (หลายบริษัทจะจัดประชุมนักวิเคราะห์ก่อนจะให้ข้อมูลกับนักลงทุนทั่วไป และหลายๆบริษัทก็ไม่ให้ข้อมูลกับนักลงทุนโดยตรง) ซึ่งเป็นส่ิงที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์ไม่อยากให้นักวิเคราะห์เปลี่ยนคำแนะนำกลับไปกลับมา นักวิเคราะห์ส่วนมากมีแนวโน้มที่จะทำตัวเลขออกมาให้ไม่ต่างกับอดีตมากนัก มีนักวิเคราะห์จำนวนน้อยที่กล้าที่จะเปลี่ยนมุมมองอย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบกำไรของเราต้องพิจารณาให้ครบทุกด้าน

หุ้นแต่ละตัวประเมินกำไรได้ยากง่ายแตกต่างกัน


“Not all stocks are created equal” หุ้นทุกตัวมีความแตกต่าง การประเมินกำไรก็เช่นกัน นักลงทุนหลายท่านมองการเติบโตของกำไร อยากได้หุ้นที่เติบโตดีๆ เลือกลงทุนในหุ้นเล็กๆที่มีการเติบโตดี แต่ลืมที่จะพิจารณาความเสี่ยง มองปริมาณ แต่ไม่ได้มองคุณภาพ เราคิดว่าธุรกิจจะโต 30% แต่เราไม่ได้คิดว่าโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน แล้วในทางกลับกันมันมีโอกาสที่จะลดลง 30% หรือเปล่า ในความเป็นจริงแล้วหุ้นที่มีความเป็นวัฏจักร มีราคาหรือต้นทุนที่ผันผวน มีลูกค้าน้อยราย เช่น ส่งออกอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคส์ หุ้นที่มียอดขายไม่สม่ำเสมอ เช่น รับเหมา จะสามารถประเมินกำไรในอนาคตได้ยากกว่าธุรกิจที่มีลูกค้าหลายราย มีการซื้อซ้ำ และราคาขายและต้นทุนไม่ผันผวน ยกตัวอย่างหุ้น หุ้นกลุ่ม OEM กับ หุ้นค้าปลีก แต่ OEM ถ้าดีก็จะดีใจหาย แต่ถ้าลูกค้ารายหลักๆหายไปซักรายก็จะมีผลกระทบต่องบการเงินเป็นอย่างมาก (ซึ่งบางครั้งผู้บริหารก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต) ส่วนค้าปลีกก็ไม่ได้ว่าประเมินได้ง่ายเสมอไปเพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ต้นทุนอาจจะเพิ่มในขณะที่กำลังซื้อถดถอย ตัวอย่างเช่นช่วงต้นปี 2014 ที่ผ่านมา หุ้นค้าปลีกส่วนมากมีผลประกอบที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ตามความแน่นอนของการคาดการณ์งบการเงินของหุ้นค้าปลีกจะมีความแน่นอนกว่ามาก แต่ถ้ามองในมุมของการประเมินมูลค่า PE ที่สูงของหุ้นพวกนี้ (เทียบกับหุ้นค้าปลีกในต่างประเทศ) ก็อาจจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ

เชื่อผู้บริหารมากเกินไป

นักลงทุนหลายๆคนไม่ได้ติดตามว่าสิ่งที่ผู้บริหารเคยพูดในอดีต ทำให้ “ตีความ” ข้อมูลที่ผู้บริหารให้สูงหรือต่ำเกินจริง ผู้บริหารบางท่านเป็นนัก “ขายฝัน” มีโปรเจคเยอะ บอกว่าจะขยายให้ได้ 100 – 200 สาขา แต่พอทำจริงๆอาจจะไม่ถึง 10 สาขา นักลงทุนที่ไม่เคยติดตามผลงานก็ต้อง “ฝันสลาย” ไปตามๆกัน แต่ถ้าเราย้อนไปศึกษาข้อมูลในอดีตซักนิด ก็จะพบว่าผู้บริหารท่านนั้นมี Track Record ที่ไม่ค่อยดี พูดอะไรก็ทำไม่ค่อยได้ ในขณะที่บางพวกเป็นพวก “พูดน้อย ทำมาก” ถามว่าเป็นยังไง? จะโตแค่ไหน? อาจจะบอกแค่ 5-10% แต่พอทำจริงๆกลับได้เยอะกว่านั้น แบบนี้เราก็ต้องนำผลงานของท่านมาพิจารณาในการประเมินกำไร อย่างไรก็ตาม บางครั้งสิ่งที่ผู้บริหารพูดอาจจะไม่มีความสำคัญเท่ากับปัจจัยภาพนอก บางครั้งสภาวะอุตสาหกรรมดูดี มีปัจจัยเชิงบวกเป็นลมหนุน ไม่ว่าจะมาจากนโยบายรัฐ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค เหตุการณ์พิเศษ ที่อาจจะเอื้อต่อธุรกิจ เวลาผู้บริหารพูดอะไร ก็อาจจะดูน่าเชื่อถือ แต่ถ้าสภาวะการณ์พลิกผัน เป้าหมายของผู้บริหารก็อาจจะดู “เกินจริง” ขึ้นมาทันที ในฐานะนักลงทุน การหาแหล่งข้อมูลอื่นมาประกอบเพื่อ “ตรวจสอบความถูกต้อง” ของผู้บริหารถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น บางครั้งการศึกษาและพูดคุยกับผู้บริหารของบริษัทคู่แข่ง บริษัทที่เป็นคู่ค้า หรือลูกค้า ก็จะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ผู้บริหารให้มาได้

ไม่ได้พิจารณาความน่าจะเป็นของงบที่อาจจะเกิดขึ้น


ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถคาดเดากำไรในอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100% เรามองออกได้แค่เป็น “ช่วง” หรือ Range ของกำไรเท่านั้น สำหรับธุรกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง (งบที่ดีที่สุดกับแย่ที่สุดมีความแตกต่างเกินกว่า 30%) ผมจะประเมินกำไรออกมาในหลายๆกรณี และจะดูว่าแต่ละกรณีมีความน่าจะเป็นอย่างไร นักลงทุนหลายท่านมองแต่กรณีปรกติ (Base Case) หรือ กรณีดีสุดๆ (Best Case) แต่ไม่ได้เพื่อโอกาสไว้สำหรับกรณีแย่สุดๆ (Worst Case) เลย ซึ่งหลายๆครั้งหมายถึงการประเมินมูลค่าที่ผิดพลาดและการขาดทุนแบบมหาศาลที่เกิดจากการไม่มี “ส่วนเผื่อความผิดพลาด” (Margin of Error) ที่มากพอ เปรียบเทียบก็เหมือนการทอยลูกเต๋าพิเศษที่มีตัวเลขทั้ง 6 ด้านคือ {1, 1, 5, 5, 5, 5} การที่มีเลข “5” ถึงสี่ด้านไม่ได้แปลว่าจะไม่มีโอกาสที่ทอยได้เลข 1 ซึ่งถ้าเลข 1 ต่ำพอที่จะทำให้หุ้นตกลงอย่างมหาศาลได้ เราก็ต้องควรพิจารณาความน่าจะเป็นในส่วนนั้นด้วย สุดท้ายแล้วการประเมินมูลค่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องแบบไม่มีวันจบ (Continuous Improvement) เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความขยันทุ่มเท ทำการบ้านเยอะๆ และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและมุมมองของนักลงทุนท่านอื่น อย่างไรก็ตามในสภาวะตลาดที่ “หุ้นตามกระแสนิยม” มาแรง ราคาตลาดอาจจะไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง หุ้นที่ Hot และเป็นที่นิยมก็จะมีราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ในขณะที่หุ้นบางกลุ่มก็จะไม่มีใครเหลียวแล และนั่นก็อาจจะเป็นโอกาสในการซื้อกิจการที่ดี แข็งแกร่ง มีการเติบโต ในราคาที่มีส่วนลด และสิ่งเหล่านั้นก็อาจจะเป็นรางวัลพิเศษให้กับนักลงทุนที่เฉลียวฉลาดและมีความอดทนมากพอ

ที่มา

  • [1] http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55200
  • [2] http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=58059
  • [3] http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58311

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บริษัทที่แจก warrant ฟรี ดีจริงหรือ

มีมีิตรสหายท่านหนึ่งส่งคำถามมาดังนี้

เมื่อวานอ่านหนังสือเรี่อง การเพิ่มทุน รวมถึงการแจกวอเแรนต์ ฟรี พวก ฟรีวอแรต์ ที่ให้เราฟรีในกระดานวอแรนต์ ที่มุลค่า 0 มีสองคำถามครับ

1.กระดานหุ้นแม่ เวลา dilute มันคิดยังไงครับ  เพื่อไจะได้รู้่ว่า dilute ไปเทาไหร่
2. พอวันราคาเปิดในกระดาาน warant  วันจะราคาเทาไหร่ แล้วคนที่เข้ามาซื้อเอาหุ้นเพื่อเอา waarant ฟรี นี้  กะขายวันราคาเปิดของกระดาน warant เลยหรือครับ
รบกวนด้วยครับ

ตอบ

1. การมี warrant จะทำให้เกิด dilution effect จากตัวอย่าง earth แจกหุ้น warrant ในอัตราส่วน 2.1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาใช้สิทธ์ 7 บาท ราคาแม่อยู่ 5.95 ดังนั้น dilution effect จะเท่ากับ

  • 1.1Control Dilution = จำนวนหุ้นใหม่ / (จำนวนหุ้นเดิม + จำนวนหุ้นใหม่) = 1/(2.1+1) =32% วันหมดอายุ 15/09/2562 แสดงว่าหมดอายุหลังจากวันออกอีก 5 ปี แสดงว่า ใน 5 ปีจากนี้บริษัทต้องทำการเติบโตเฉลี่ยคร่าวๆปีละ 32/5=6.4% ถ้าทำไม่ได้แสดงว่าอีก 5 ปีถ้า warrant มีการใช้สิทธ์ EPS จะลดลง หุ้นก็จะตก
  • 1.2 price Dilution ไม่มีเพราะราคาใช้สิทธ์แพงกว่าราคาแม่


2. เปิดมาราคา warrant ควรเป็นเท่าไร ปกติ

  • ราคาแม่  = ราคาใช้สิทธ์ + ราคาwarrant

ดังน้นถ้าบริษัทแจกหุ้นwarrant ให้มาฟรีๆ ราคาที่เทรดวันแรกก็ควรเท่ากับ
ราคาwarrant =  ราคาแม่ - ราคาใช้สิทธ์ + มูลค่าจากเวลา(time value)

มูลค่าจากเวลา(time value) ที่มาบวกเข้าไปเพราะกว่าจะใช้สิทธ์แปลงเป็นหุ้นแม่ก็หลายปีเราถือไว้ถ้าแม่ขึ้นเราอาจได้ capital gain ได้ เยี่ยมจริง

แต่หุ้นหลายตัว ราคาแม่ ณวันที่ออกยังน้อยกว่าราคาใช้สิทธ์ อย่าง earth-w4 ราคาใช้สิทธ์อยู่ที่ 7 บาท ในที่ประชุม ก็ไม่สามารถคำนวณได้เพราะราคาแม่ยังอยู่แค่ 5.95 บาทเอง ที่ปรึกษาการเงินบอกว่าแล้วแต่ตลาดจะให้ละกัน

 กรณีศึกษาวันที่หุ้นลูกเข้า
ลองคำนวณผลตอบแทนภายใต้สมมติฐานว่าซื้อก่อน XW 1 วันเพื่อรับสิทธ์แล้วขายเลยที่ราคาปิดอีกวัน รอรับ warrant ลุ้นว่าจะได้ราคามาเท่าไร
หุ้น Earth-w4 XW วันที่ 2 กค ราคาปิดก่อน XW อยู่ที่ 5.95 ราคาปิดวันที่ 2 อยู่ที่ 5.5 แปลว่าจะขาดทุนไปหุ้นละ 0.45 บาท
ถือทนไปซักพัก
Earth-w4 เข้าเทรดวันที่ 15/08/2557, ราคาปิดหุ้น warrant วันแรกอยู่ที่ 0.98
ก็ยังได้กำไรกินหนมนิดหน่อย เนาะ 0.98 - 0.45 = 0.53

สรุปทนๆไปได้กำไรเท่ากับ 0.53/5.95 =8.9% ยินดีด้วยคร้าบ ส่วนคนที่คิดจะถือยาวๆ ต้องลุ้นว่าบริษัทจะทำกำไรโตปีละ 6.4% ได้หรือเปล่า





วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

การหาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ke) ด้วย capm

ในการประเมินมูลค่าหุ้น ตัวแปรที่เป็นปัญหามากคืออัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ke) ที่คำนวณโดยอ้างอิงจากแบบจำลอง Capital Asset Pricing Model (CAPM) ปัญหาคือไม่รู้จะเลือกข้อมูลจากระยะเวลาไหนดี จะทำมั่วๆก็กลัวไม่มีเพื่อน ลองมานั่ง review การหาอัตราคิดลดของที่ปรึกษาการเงินมืออาชีพ จากรายงานความเห็นของที่ปรึกษาการเงินให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ครับ มาดูกันว่าชาวบ้านเขาหาค่ากันอย่างไร

เริ่มต้นที่ RS ซื้อ  Cap ad ที่มา [1]
RS


MONO ไปประมูลดีวิดิจิต้อล ที่มา [2]
MONO
คำเสนอซื้อกิจการ EIC ของเสี่ย บี เตชะอุบล [3]
EIC
นกแอร์จัดตั้งบริษัทร่วมทุน
NOK
ที่มา

[1] RS ความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสินทรัพย์ www.set.or.th/dat/news/201403/14019570.pdf


[2] MONO ความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสินทรัพย์ www.set.or.th/dat/news/201403/14018630.pdf

[3] EICนำส่งความเห็นของกิจการ และรายงานที่ปรึกษาทางการเงินเกี่ยวกับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 250-2) www.set.or.th/dat/news/201403/14018039.pdf

[4] NOK ความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสินทรัพย์ www.set.or.th/dat/news/201403/14017331.pdf 17 มี.ค. 2557

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

REIT ต่างจากกองทุนรวมอสังหาฯ อย่างไร?

ความจริงความแตกต่างมีเยอะในหลากหลายแง่มุมนะครับ ผมขอยกมาบางส่วนก็แล้วกัน

  • REIT สามารถกู้ยืมเงินได้มาก อาจสูงถึง 60% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด ขณะที่กองอสังหาฯ กู้ยืมได้ไม่เกิน 10%
  • ความหมายก็คือ หากจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 100 ล้านบาท ถ้าเป็นกองอสังหาฯ คุณต้องควักเงินของตัวเองอย่างน้อย 90 ล้านบาท แต่ถ้าจัดตั้งเป็นกอง REIT คุณอาจควักเงินแค่ 40 ล้านบาทก็พอ ที่เหลือกู้เอา
  • กองอสังหาฯ ไม่สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ขณะที่กอง REIT สามารถทำได้
  • กองอสังหาฯ ไม่สามารถลงทุนในต่างประเทศ ส่วนกอง REIT ทำได้

ตามมุมมองของผม กอง REIT มีความยืดหยุ่นมากกว่า และอาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีโอกาสที่นักลงทุนจะต้องรับความเสี่ยงมากกว่าเช่นกัน

ศึกษาข้อมูลต่อได้ที่ http://www.set.or.th/th/products/listing/files/Brochure_REIT.pdf


ที่มา https://www.facebook.com/MonkeyFreeTime/posts/622470014495701?stream_ref=1

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ข้อผิดพลาดที่มักพบของนักลงทุนที่วิเคราะห์และใช้ข้อมูลทางการเงิน

ข้อผิดพลาดที่มักพบของนักลงทุนที่วิเคราะห์และใช้ข้อมูลทางการเงิน จากประสบการณ์ที่เห็นมามากกว่า 20 ปี ของ อาจารย์ อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล [1] ครับ สรุปได้ 4 ข้อ เชิญอ่านโดยพลัน

1. ส่วนใหญ่สนใจแต่ Bottom line (กำไรสุทธิ)


  ส่วนใหญ่แทบทุกคนแม้แต่นักวิเคราะห์โบรคเกอร์ต่างๆ จะมุ่งเน้นแนะนำว่าหุ้นน่าสนใจหรือไม่โดยบอกเพียงกำไรเติบโตเพิ่มมากน้อยหรือลด แต่มักไม่ได้ดูว่ากำไรดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร ช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัทมีกำไรที่เกิดจากกำไรที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน (กำไรพิเศษ) เช่นการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน มีกำไรจากการต่อรองจากการซื้อบริษัทย่อย เป็นต้น ซึ่งกำไรเหล่านี้เป็น one-time gain/loss


2. ดูแนวโน้มกำไรเพียงปีต่อปี 


หรือไตรมาสนี้กันปีที่แล้วหรืองวดเดียวกันของปีก่อน ผลสืบเนื่องมาจากข้อแรก ทำให้กำไรก้าวกระโดดมากเป็นพิเศษ และการมองการเติบโตเพียง Y-o-Y หรือ Q-to-Q อาจเกิดเพียงระยะสั้นเท่านั้นการลงทุนแบบ Value Investor ควรมองกำไรอย่างน้อย 4-5 ปี


3. สนใจรายละเอียดมากเกินความจำเป็น อ่านงบการเงินแบบนักบัญชี แต่ไม่อ่านแบบนักลงทุน 


ไม่มององค์รวมก่อน มุ่งแต่รายละเอียด จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา คำถามที่ได้รับจากผู้ลงทุนหลายๆ ท่าน พบว่า บางครั้งมุ่งสนใจเฉพาะรายละอียดบางรายการ ทั้งที่บางคครั้งนักบัญชีเองอาจจะยังไม่รู้รายละเอียด หรือยังไม่เข้าใจในมาตรฐานบัญชีด้วยซ้ำ หลายๆ รายการในงบการเงิน บางครั้งก็ปรับปรุงตัวเลขไปตามคำแนะนำของผู้สอบบัญชี (เพื่อจะได้ออกความเห็นแบบไม่มีเงื่อนไข) เช่นสินทรัพย์/หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี มาอย่างไรทำไมได่เท่านั้น้ท่านี้ ปกติรายการที่เปรียบเทีบยด้วย common size ถ้าขนาดต่ำกว่า 5% ผมแทบจะไม่สนใจเลย เพราะผลกระทบต่อกำไรจะน้อยมาก เว้นแต่เปลี่ยนแปลงสัดส่วนเทียบปีต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ

 สำหรับคนที่เรียนวิธีการอ่านงบกับผมแล้วนั้น ผมจะเน้นให้ใช้สมการบัญชี พิจารณาการเปลี่ยนแปลงเป็นหลักเบื้องต้นก่อน สินทรัพย์รวมเปลี่ยนไปเท่าใด เปลี่ยนในหมุนเวียนหรือไม่หมุนเวียน และค่อยเจาะลึกลงไป จากนั้นพิจารณาว่าเอาเงินทุนมาจากอะไร หนี้สินหรือส่วนทุน ทำให้ด้เงินทุนจากกำไรลดลงถ้าก่อนี้มาจากหมุนเวียนหรือไม่หมุนเวียน ส่วนทุนได้มาจากอะไร กำไร(สะสม)หรือเพิ่มทุน (การจ่ายปันผลออกไปย่อมได้ทุนจากกำไรลดลง) บางคนสนใจว่าลงบัญชีอย่างไร ซึ่งบางครั้งอาจไม่จำเป็นนัก แค่เข้าใจว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามสมการบัญชีเป็นอย่างไรก็เพียงพอที่จะประเมินธุรกิจแล้ว เพราะถ้ากระทบด้านสินทรัพย์หมุนเวียน ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็คือสินทรัพย์หมุน้วียนอยู่ดีและ current ratio ก็ไม่เปลี่ยนไปจากการคำนวณอัตราส่วน

4. ขาดความเข้าใจการดำเนินธุรกิจ และเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับผลที่นำเสนอรายงานทางการเงินไม่ได้ 


หลายครั้งที่งบการเงินได้บอกนัยทางธุรกิจผ่านงบการเงิน เช่นตัวอย่างง่ายๆด้านขาย ถ้าเป็นกิจกรรมหลักปกติ เมื่อเกิดกิจกรรมขายขึ้นย่อมทำให้เกิดลูกหนี้การค้าขึ้นและถ้าเก็บเงินได้ ลูกหนี้จะเปลี่ยนเป็นเงินสด ค่าขายเพิ่มและลูกหนี้หรือเงินสดพิ่ม การมีลูกหนี้คงค้างในงบเพิ่ม ย่อมแสดงว่ามีการบันทึกรายได้(ขาย) แต่ยอดคงค้างคือรายการที่ยังไม่เก็บเงิน คงค้างมากแสดงว่าขายแล้วยังไม่เรียกเก็บเงินอีกมาก การจะดูว่าผิดปกติหรือไม่ก็ตรวจสอบภาพรวมได้จากการวิเคราะห์ Accounting receivables turnover เป็นต้น หรือกรณีธุรกิจมีลักษณะเป็น Cyclical Business ราคาสินค้ามีลักษณะขึ้นลงเป็นวัฏจักรยาวนานรอบละสามถึงสี่ปี ผลการดำเนินงานและโครงสร้างทุนจะแปรเปลี่ยนได้ตามวงจรธุรกิจ หากไม่เข้าใจก็อาจมองหรือประมาณการผิดพลาดได้ ธุรกิจธนาคารเชื่อมโยงกับด้านเศรษฐกิจระดับมหภาคสูง ถ้าวิเคราะห์ระดับมหภาคผิดก็จะประเมินผลการดำเนินงานผิดพลาดเป็นต้น

นั่นคือ 4 ประเด็นหลักๆ ที่เจอมาตลอดจากทั้งนักวิเคราะห์เอง หรือจากนักลงทุนที่วิเคราะห์หุ้นจากกงบการเงินเอง ความจริงในแต่ละเรื่องมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก แต่พยายามสรุปเป็นกลุ่มหลักๆ ในความผิดพลาดมีอีกหลายอย่าง เช่น การประเมินมูลค่าหุ้น ในรูปแบบต่างๆทั้ง DCF P/E PEG P/BV หรือการหา growth ความเข่าใจหลักการเงินหรือการบัญชีที่ผิดๆ ทำให้ใช้งานและตัดสินใจไม่เป็นไปตามหลักที่ถูกต้อง อาจได้กำไรช่วงสั้นแต่เสียหายได้ในระยะยาว

[1]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10201676394290073

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การลงทุนและอิสรภาพทางการเงินคืออะไร

เราอยู่ในโลกทุนนิยม มีหน้าที่สองอย่างคือทำงานหาเงิน และนำเงินมาลงทุนให้เงินมันทำงาน เพื่อหาผลตอบแทนมาตอบสนองความต้องการไปวันๆ คนเราเกิดมาเข้าโรงเรียนเขาก็สอนแค่ก็เรียนจมมาได้มีความรู้ไปทำงานหาเงิน แต่เรื่องการนำเงินไปลงทุนให้เงินทำงานไม่มีสอนในโรงเรียน (สงสัยกลัวคนรู้เยอะๆแล้วนายทุนจะขาดแรงงาน)

การลงทุนคืออะไร

การวางแผนการเงินในโลกทุนนิยมเราต้องวางแผนว่าจะหาที่มาของเงินจากไหน และจะนำเงินไปใช้อย่างไร

โดยทั่วไปที่มาของคนในโลกของทุนนิยมมีที่มาดังนี้
  • แรงงาน = สมอง + แรง => ค่าแรง
  • ผู้ประกอบการ = สมอง  + ทุน + แรง => ค่าแรง และ กำไร
  • นักลงทุน = สมอง + ทุน  => กำไร
เมื่อมีรายได้ ก็เอาไปใช้จ่ายเหลือก็เอาไปเก็บออม มีเงินออมก็นำไปลงทุน

ตามตำรา การลงทุนก็คือ การที่ยอมสละการบริโภคในปัจจุบัน นำในลงทุน เพราะคาดว่าในอนาคตจะได้รับผลตอบแทนกับมาทำให้ได้รับการบริโภคมากขึ้น สั้นๆแค่นี้แหละ

อิสรภาพทางการเงินคืออะไร

ถ้าคุณตัดสินใจถูกต้องได้รับผลตอบแทนมาตามที่เราคาดไว้ ในอนาคตเราก็จะมีเงินให้บริโภคมากขึ้นตามคาด ถ้าเราทำได้บ่อยๆ ก็จะเกิดการสะสมทุนแล้วมีมั่งคั่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าถึงจุดหนึ่งที่รายได้จากการลงทุนมากกว่ารายจ่ายประจำคุณก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน คือไม่อด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุขนะ คนมีสตางค์ก็มีความทุกข์ในแบบของเขา

ปัจัยกำหนดการตัดสินใจลงทุน

คนเรามีเรื่องให้ตัดสินใจลงทุนทุกวัน แต่ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเลือกลงทุนในทุกทางเลือกที่ผ่านเข้ามาได้ จะเลือกลงทุนทางหนึ่ง ก็ต้องยอมสละอีกทางหนึ่งเราต้องตัดสินใจในการจัดสรรทรัพยากรว่าทำอย่างไรจึงคุ้มค่าที่สุด

ในทางเศรษฐศาสตร์ การจัดสรรที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือจัดทรัพยากรไปในทางเลือกที่มีต้นทุนค่าเสียโอกาสต่ำที่สุด (ผลตอบแทนของทางเลือกที่เรายอมสละไปต่ำที่สุด) เอาภาษามนุษย์ก็คือเลือกทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดนั่นเอง

ปัจจัยกำหนดการลงทุน
ในการลงทุนนักลงทุนจะมีผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ในใจ เหมือนว่าไม่ทำอะไรอยู่เฉยๆก็ได้รับผลตอบแทนเท่ากับผลตอบแทนที่คาดหวัง คนเราส่วนใหญ่ก็ฝากแบงค์กินดอก อย่างมากก็ 3% ต่อปี

เมื่อโอกาสการลงทุนผ่านมา ก็เหมือนนิทานเรื่องหมาน้อยกับเงา ที่ไปเจอหมาอีกตัวในน้ำที่มันคาบเนื้อชินใหญ่กว่า อาจมีคนมาเสนอว่าลงทุนกับเราสิให้ผลตอบแทน 100% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนที่คาดหวังคือเอาไปฝากแบงค์ 3% ต่อปี ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าความเสี่ยงไม่สูง (มั้ง) อยู่ในระดับที่รับได้(มั้ง) ก็จะกระโจนใส่เข้าไปซื้อ แล้วก็...

เล่นกับความเสี่ยงอย่างไรไม่ให้เจ็บตัว

ความเสี่ยงเป็นทั้ง อันตราย และ โอกาส ถ้าไม่กล้ายอมรับความเสี่ยงก็ไม่ได้โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทน จะเป็นนักลงทุนชีวิตต้องอยู่กับความเสี่ยงให้ได้ เพราะธรรมชาติของทุกสิ่งล้านตกภายใต้กฎไตรลักษณ์คือ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามเหตุปัจจัย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับของเราได้

เมื่อหนีความเสี่ยงไม่พ้นก็ต้องหาวิธีจัดการมัน เทคนิคจัดการความเสี่ยงที่ดีคือ อย่าโลภเกินความรู้ ยิ่งถ้าเอา “ความโลภ” เข้าไปขยี้รวมกับ “ความรู้ไม่จริง” การลงทุนนั้นๆ ยิ่งน่ากลัวกันไปใหญ่ รู้ครึ่งๆ กลางๆ สร้างความเสียหายมากกว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วมั่วๆไปอีก ในเรื่องการลงทุนมีคอร์สและตำรามากมายทั้งฟรีและไม่ฟรีให้ท่านเลือก  TSI ของตลาดหลักทรัพย์ก็ดี, อยากรู้ลึกก็ไปลงสอบ CFA CISA  เรียนรู้ไปเถอะไม่เสียหาย

เมื่อใจพร้อม แนะนำว่าปิดจอแล้วไปเลือกดูศึกษาเปรียบเทียบสินทรัพย์ที่เราสนใจให้เยอะๆ จะทำให้ความรู้พัฒนาเป็นความชำนาญที่สุด ของดีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำนั้นหาง่ายแต่ของดีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงๆ ต้องค้นเยอะเปรียบเทียบสินทรัพย์หลายๆตัวถึงจะเจอ

ใจพร้อม ความรู้พร้อม ไม่มีทุนทำอย่างไร

การบอกว่าไม่มีทุนเป็นข้ออ้างครับ การลงทุนหลายอย่างไม่ใช้เงินเยอะอย่างที่คิดครับ อย่างอสังหาแค่เป็นนายหน้าก็รวยสะดือปริ้นและ อยากเป็นเจ้าของธุรกิจไม่มีเงินก็ลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้ ตลาดเขาให้ซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้น บางบริษัทหุ้นละ 5 บาท ซื้อร้อยหุ้นก็ใช้เงินแค่ 500 บาท

ดังนั้นถ้าอยากรวยอย่างยั่งยื่นก็พยายามรักษาสติ อย่าโลภเกินความรู้ ก็จะสามารถลงทุนให้ผลตอบแทนที่เราพอใจในระดับความเสี่ยงที่รับได้ เจริญในการลงทุนทุกท่านครับ

เงินไม่ทำให้คนเรารวย แต่ ‘ความรู้’ และ ‘วินัยทางการเงินที่ดี’ ต่างหากที่ทำให้คนเรารวยได้

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขายสินทรัพย์เข้ากองทุนแล้วได้อะไร

ช่วงหนี้หลายๆบริษัทขอบออกกองทุน โดยการนำสินทรัพย์ไปขายให้กองทุนเป็นว่าเล่น รับรู้กำไรทางบัญชี หุ้นวิ่งกันสนุกสนาน แนะนำบทความของ อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล[1] เรื่องการออกกองทุน ละผลที่บริษัทได้อย่างน่าสนใจเชิญอ่านโดยพลัน

ก่อนที่จะไปเรื่องทางบัญชี ต้องเข้าใจเหตุผลของการทำธุรกรรม และวิธีการทางธุรกรรมที่สำคัญก่อนและจากนั้นก็จะเข้าใจประเด็นทางบัญชี (ข้อ 3-4)

  1. การจัดตั้งกองทุน (กองทุนอสังหาฯ REIT กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน IFF) นั้นมีวัตุประสงค์หลักคือ การระดมทุน โดยนำเงินไปเพื่อลดภาระหนี้ หรือเพื่อนำไปขยายการลงทุน ไม่ใช่เพื่อการขายสินทรัพย์หากำไร
  2. หลักการระดมทุนเป็นรูปแบบหนึ่งของการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน จึงต้องมีการจัดตั้ง SVP (เรื่องนี้เคยเขียนไปเมื่อ 31/8/56 ลองไปหาอ่านเพิ่มเติม) ถ้าบริษัทตั้งเอง อาจจะเข้าไปถือหุ้นราว 30% ตามที่ กลต.กำหนด (ให้บริษัทจัดการจัดสรรหน่วยลงทุนของกองทุนรวมให้แก่บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันใดได้ ไม่เกินอัตราหนึ่งในสามของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกองทุนรวม) ผู้ถือหน่วยลงทุนถือเป็นผู้ถือหุ้นของกองทุน การถือหุ้นนี้จะไม่ถือหรือถือแต่ต้องไม่เกินหนึ่งในสาม
  3. จากข้อสองนี้เอง ถ้าบริษัทไปถือ > 20% ก็เข้าหลักเกณฑ์การเป็นบริษัทร่วม เมื่อเป็นบริษัทร่วม กำไรที่เกิดระหว่างกันจากการซื้อขายสินทรัพย์จะไม่นำมาบันทึกครั้งเดียว ต้องตัดรายการระหว่างกันออก เนื่องจากกองทุนมักจะมีอายุเช่นกองทุน IFF เช่น BTS Growth Fund บริษัทขายระบบรางรถไฟฟ้าให้ขายได้เงินมา 6 หมื่นล้านบาท ต้นทุนของโครงการราว 4 หมื่นล้านบาท มีกำไรทั้งสิ้น ราว 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนระหว่างกันราว 1/3 จึงต้องรับรู้เพียง 2/3 ราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำไร 2/3 นี้เรียกว่า True Sale Transaction กำไรจริงที่เกิดขึ้น
  4. มาตรฐานทางบัญชีอนุญาตให้บริษัทที่ขายสินทรัพย์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานบันทึกกำไรพิเศษได้แค่ส่วนต่างระหว่างมูลค่าพื้นฐานกับมูลค่าทางบัญชีเท่านั้นโดยส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ตามอายุสินทรัพย์

ในประเด็นนี้

  • มูลค่าทางบัญคือราคาทุนหักค่าเสื่อมสะสมและด้อยค่า(ถ้ามี) 
  • ส่วนมูลค่าพื้นฐานคือมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ มักนิยมหาจากมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต สมมติ บริษัทนำเอาโครสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งทางราง ไฟฟ้า ประปา ถนน ทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน ท่าอากาศยานหรือสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก โทรคมนาคม โครงข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้น การประเมินมูลค่าก็คือ ดูว่าโครงข่ายนี้จะทำรายได้กระแสเงินสดเข้าสุทธิเท่าไรในอนาคต แล้วคิดลดด้วยอัตราคิดลดซึ่งปกติจะใช้ WACC 


ดังนั้นโดยมากแล้วการบันทึกกำไรพิเศษจะเกิดทันทีระหว่างส่วนต่างระหว่างมูลค่าพื้นฐานกับมูลค่าทางบัญชีส่วนแรกรับรู้ทันที และต้องหักกำไรระหว่างกันออกตามส่วนที่มีการถือในกองทุน สาวนที่เกินจะทยอยรับรู้ตามอายุการใช้งานของสินทรัพย์ การเล่นแร่แปรธาตุที่ทำได้คือ ตัว WACC กำไรพิเศษจะเพราะมูลค่าปัจจุบันของกรแสเงินสดจะน้อย ส่วนที่ขายได้เกินก็ทยอยรับรู้ไป แต่โดยมากบริษัทเน้นลงกำไรทันทีมากกว่า ดังนั้นก็ต้องตีราคาพื้นฐานให้สูงเข้าไว้ ซึ่งก็จะทำให้ผู้ถือหน่วยได้ผลตอบแทนต่ำลง

ในทางบัญชีรายการเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นจะรับรู้เป็นกำไรจากการขายสินทรัพย์ ถือเป็น และone-time gain ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่สร้างคอนโดมิเนียมขาย จะขายยกโครงการและเป็นรายได้จากการขาย ทำให้มีรายได้แบบก้าวกระโดด กำไรเติบโตอย่างมาก มาดูที่ธุรกิจทั่วไปที่ขายสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ และเกิดกำไรจากการขายสินทรัพย์ ขึ้น ถือว่าเป็นรายการทำ Creative accounting ซึ่งบางคนอาจเรียกว่าการตกแต่งบัญชีบ้าง กลบัญชีบ้าง Financial Shenanigans บ้าง
ดังนั้นถือเป็นการสร้างกำไรประเภท one-time gain ขึ้น รายการพวกนี้ถ้าพิจารณาดีๆ มันมาครั้งเดียวกระชากกำไรให้เพิ่มขึ้น แต่งวดต่อไป ก็ไม่มีแล้วถ้าจะให้มีอีกก็ต้องหาสินทรัพย์มาขายทำกองทุนแบบนี้อีก เหมือนกับคนๆหนึ่งมีรายได้จากการทำงานประจำ จู่ๆเดือนนั้นขายรถได้เงินมา ถ้าคุณเป็นธนาคารคุณจะปล่อยสินเชื่อโดยมองที่งานประจำอย่างเดียวหรือรวมรายได้ขายรถมากำหนดให้วงเงินกู้ การลงทุนระยาวก็หลักการเดียวกัน

ดังนั้นบริษัทที่ออกข่าวว่าจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน ผมมองว่าเขาเริ่มไม่มีอะไรจะหากินแล้วแต่เริ่มเอาสินทรัพย์มาสร้างตัวเลขกำไร เวลาประเมินมูลค่าแท้จริง จะต้องหักรายการพวกนี้ออก หากจะซื้อให้ระลึกไว้เสมอว่าซื้อเพราะการเก็งกำไร ไม่ใช่เรื่องปัจจัยพื้นฐาน

อย่างที่บอกไว้แต่ข้อแรกว่า การจัดตั้งกองทุน (กองทุนอสังหาฯ REIT กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน IFF) นั้นมีวัตุประสงค์หลักคือการระดมทุน ไม่ใช่เพื่อการขายสินทรัพย์หากำไร จึงอย่าเอาเรื่องกำไรมาประเมินมูลค่าในระยะยาว กำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน มีกำไร ส่วนทุนเพิ่ม เงินสดเพิ่ม แต่กำไรนี้มางวดเดียว ไม่เหมือนรายได้จากการขาย/บริการปกติ ไม่ใช่มูลค่าระยะยาว ถ้าหวังเอาส่วนต่างระยะสั้นตามข่าวก็ได้ แต่ถ้าจะลงทุนแนว VI ตัวจริงคงไม่ใช่และถ้าเอาเงินมาลดหนี้แล้วในทางทฤษฎีแล้ว ผลตอบแทนเงินก้อนนั้นได้แค่ต้นทุนดอกเบี้นเท่านั้น ข้อดีมีประเด็นเดียวคือจากสถานะมีหนี้สินพรุงพรังใกล้แย่ก็ดีขึ้น ถ้าบริษัทใดไม่ได้มีแรงกดดันเรื่องหนี้ถือว่าไม่คุ้ม แค่ปั่นกำไรเท่านั้น ส่วนบริษัทหนี้มากก็แต่รอดตาย ต้องดูอีกว่าหลังรอดตายจาก ICU จะเป็นอย่างไรต่อไป จะฟื้นหรือแค่อัมพฤกษ์

[1]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10201234011070769

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข้อผิดพลาดที่ทำให้ตีความงบการเงินชีผิดเพี้ยนไป

บทความจาก อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล [1][2] เขียนอธิบายข้อผิดพลาดที่พบบ่อยของนักลงทุนในการตีความข้อมูลตัวเลขจากบัญชี-งบการเงินชีผิดเพี้ยนไป ได้อ่านง่ายมากครับ เยี่ยมจริงๆ เชิญอ่านโดยพลัน

1. อัตราส่วน Current Ratio ตัวนี้ดูง่ายๆ แต่ทำคนหลงประเด็นมาก ส่วนมากดูกันว่า > 1 ก็โอเคแล้ว อาจไม่ใช่เสมอครับ มีประเด็นที่ทำให้ผิดเพี้ยนในการใช้และตีความอยู่สามประเด็นหลักๆคือ

  • 1.1 ไม่ตรวจสอบว่าสินทรัพย์หมุนเวียนอาจมีมูลค่าเทียมแฝงอยู่ เช่นลูกหนี้ตั้งหนี้สงสัยจะสูญน้อยไป สินค้าก็มีรอบยาวมาก ไม่มีการตีมูลค่าให้เหมาะสม (ตั้งค่าเผื่อ) แบบนี้ก็ได้ CR สูงเกินไปทำให้คิดว่ากิจดารไม่มีปัญหาสภาพคล่อง
  • 1.2 วัฏจักรของธุงกิจมีผลต่อ CR ช่วง Growth Stage ค่า CR ไม่ต้องสูงมากก็ได้ เพราะช่วงนี้ขายคล่องเก็บเงินคล่อง สินค้าก็หมุนเร็ว ตัวสินทรัพย์หมุนเวียนมันจะเปลี่ยนเป็นเงินสดเร็ว บางคนอาจคิดว่า เงินสดก็ต้องมากสิ อาจใช่แต่เป้าหมายธุรกิจข้อหนึ่งคือ Mame Profit (เคยเขียนไว้แรกว่า เป้าหมายธุรกิจที่ดี คือต้อง Make Profit, Generate Cash Flow, Stay Solvency ทำทุกข้อไม่ใช่แค่ทำกำไรสูงสุดอันนี่โบราณแล้ว) ดังนั้นเมื่อมีเงินสดเหลือมากธุรกิจก็จะเปลี่ยนเงินสดไปเป็นสินทรัพย์ทำเงิน เช่นซื้อสินค้า ขยายกำลังการผลิต ขยายสาขา วัฏจักรนี้จึงเห็นการฌติบในสินทรัย์ไม่หมุนเวียนสูง ส่วนในช่วง Recession (Declining) Stage ค่า CR ควรต้องสูงขึ้น เพราะ ส/ท หมุนเวียนเริ่มหมุนช้าลงแต่ภาระจ่ายหนี้สินยังมีรอบหมุน (ระยะเวลาจ่าย) เท่าเดิม แต่ต้องอย่าลืมว่าต้องดู 1.1 ด้วยว่าไม่มี ส/ม หมุนเวียนเทียม
  • 1.3 CR ที่สูงกว่า 1 มากๆ ไม่ใช่ว่าดีเสมอ เพราะอาจไม่มีประสิทธิภาพในการบริหาร ส/ท หมุนเวียนก็ได้ เช่นเก็บหนี้นานกว่าอุตสาหกรรม เพราะใช้กลยุทธ์แข่งขันการขายด้วยการให้เครดิตการค้านานกว่าคู่แข่ง แสดงว่าแบรนด์ไม่แกร่งจริง ซื้อของมาตุนไว้มากเกินไป อาจจะดูปกติในช่วงขาขึ้นของอุตสาหกรรม ถ้าเกิดการผลิกผัน ปีหน้าขาลง จะเกิดผลเสียหายได้
    การอ่านค่า CR (current ratio) ถ้าอ่านและตีความเป็นแล้วบอกได้หลายมุมของธุรกิจทีเดียว ผมจะใช้คู่กับ วงจรเงินสดด้วย (แนะนำให้ไปดูเพิ่มในบทความเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสองหัวข้อประกอบ)


1.2 รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็นปัญหาทางการบัญชีที่ต้องเข้าใจ รายการนี้จะแสดงบนพื้นฐานราคาทุนหักค่าเสื่อมสะสมและการด้อยค่า (ถ้ามี) การเปรียบเทียบสองกิจการที่เริ่มต้นในเวลาต่างกันมากอาจเป็นปัญหาได้ แม้ว่ามาตรฐานการบัญชีจะอนุญาตให้รายการนี้ตีราคาใหม่ได้ แต่ก็มีบางกิจการไม่เลือกตีใหม่เพราะ ไม่ได้อะไรมาก การตีรคาใหม่ส่งผลต่ออัตราส่วนหลายตัวคือ

หนึ่ง D/E ลดลง เพราะส่วนที่ตีราคาเพิ่มขึ้นจะทำให้กำไรสะสมเพิ่ม ส่วนทุนเพิ่ม ค่าD/E ก็ลดลง
สอง ค่า P/BV ลดลง ทำให้ราคาหุ้นดูแล้วถูกลง แต่ไม่ทำให้ P/E ลดลง ดังนั้นระวังอย่าเลือกหุ้นโดยดู P/BV อย่างเดียว
ในรายการนี้ควรมองในหมายตุประกอบงบการเงินกว้างๆ ว่ามีรายการเพิ่มลดผิดสังเกตหรือไม่ และอายุการใช้งานที่ตัดค่าเสื่อมเป็นอย่างไรใกล้เคียงอุตสาหกรรมหรือไม่ ถ้าภาพรวมๆ ผ่าน ก็ไม่ต้องติดใจใดๆแม้จะตั้งธุรกิจต่างเวลากัน

1.3 การวิเคราะห์ให้ดูงบรวมเป็นหลัก และให้ถือว่าบริษัทย่อยคือสาขา ส/ท และ น/ส บริษัทย่อยคือของบริษัท มีไม่กี่กรณีที่จะไปดูงบเดี่ยว (งบเฉพาะ) รายการเงินลงทุนในงบรวม เหลือเพียงสองกลุ่มคือ งลท.ในบริษัทร่วม และ งลลท.อื่น งลท.ในบริษัทร่วมจะแสดงด้วย Equity method ในงบเฉพาะนั้นทั้งบริษัทยอยและร่วมจะแสดงด้วยราคาทุนเท่านั้น และไม่บันทึกส่วนแบ่งกำไร แต่ในงบการเงินรวมจะแสดงส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) ดังนั้นมูลค่างลท.ในบริษัทร่วม คือมูลค่าที่รวมผลกำไรสะสมหักปันผลที่จ่ายคืนมายังบริษัทแล้ว ดังนั้นการตีความและวิเคราะห์รายการนี้ สำหรับบริษัทหลายแห่งมีเงินลงทุนในบริษัทร่วมเกือบ 20% หรือมากกว่าของสินทรัพย์รวม
สัดส่วนที่สูงมากเช่นนี้เมื่อวิเคราะห์งบการเงินต้องระมัดระวัง เพราะคำว่าบริษัทร่วมหมายถึงบริษัทอื่นที่บริษัทเข้าไปถือหุ้น ระหว่าง 20% - 50% มากกว่านี้ต้องเอามาทำงบการเงินรวม น้อยกว่า 20% ถือเป็น งลท.ระยะยาวอื่น ความแตกต่างของ งลท ย่อย ร่วม และอื่นคือ ย่อยนั้นถูกมองเป็นสาขาดังนั้นรายได้ ค่าใช้จ่ายถือเป็นส่วนหนึ่งของแม่ รายการซื้อขายระหว่างกันไม่เอามาคิด เหมือนกับการส่งของระหว่าง สนญ.กับสาขาเท่านั้น กำไรขาดทุนก่อน (หรือไม่รวม) ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากเงินลงทุนซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย คือที่สนญ.และสาขาทำได้ ในการแสดงรายการบางบริษัทก็รวมส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนในหัวข้อรายได้ด้านบน บางกิจการแยกแสดงต่างหากหลังกำไรขาดทุนก่อนส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากเงินลงทุน ทำได้ทั้งสองแบบ เพราะสุดท้ายกำไรขาดทุนสุทธิเท่ากัน ในการอ่านงบต้องระวัง เพราะบริษัทที่รวมในบรรทัดรายได้ด้านบนมีสองนัยซ่อนอยู่ คือ
หนึ่ง บริษัทแม่มีกำไรไม่โดดเด่นและเอาส่วนแบ่งกำไรมาเพิ่มในรายได้รวมให้ดูสูง หลายคนเวลาวิเคราะห์อัตราส่วนที่ใช้ยอดขายบางทีเผลอเอายอดรายได้รวมไปใช้ ทำให้อัตราส่วนผิดเช่น RT (Receiviable Turnover) อัตรากำไรขั้นต้น (GM) บางคนเผลอเอารายได้รวมลบต้นทุนขาย เท่ากับกำไรขั้นต้น เมื่อส่วนแบ่งกำไรสูงก็อาจผิดได้
สอง ในทำนองกลับกันเนื่องจากการลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ การรวมไว้ทำให้คนอ่านงบข้ามเรื่องเงินลงในบริษัทร่วมไป เพราะแม้จะเผลอทำแบบที่หนึ่งที่กล่าวมาก็ไม่ผิดเพี้ยนมากนัก แต่ถ้ามาวิเคราะห์ประสิทธิผลของเงินลงทุนจะพบว่าต่ำมาก บริษัทที่มีสัดส่วนเงินลงทุนในบริษัทร่วมมากกว่า ¼ ของสินทรัพย์รวมต้องระวัง

1.4 เรื่องใกล้ๆกันคือค่านิยม ค่านิยมมีในงบการเงินรวมเท่านั้น มาจากเมื่อเอางบแม่และลูกมารวมกัน ปกติ (เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ) ก็เอาสินทรัพย์มาบวกกันตรงๆตามรายการ ทีนี้ถ้าซื้อมาที่ราคาทุนตามบัญชี เงินลงทุนในงบมีก็จะเท่ากับส่วนทุนลูกตามสัดส่วนพอดี งบรวมต้องเอาสองรายการนี้มา offset (หักกลบกัน) ก็ไม่มีค่านิยม (ซื้อสูงกว่าราคายุติธรรม) ถ้ามีค่านิยมแสดงว่าซื้อมาสูงกว่ามูลค่ายุติธรรม ซึ่งมูลค่านี้มักมาจากการตีราคา ส/ท ใหม่ที่ราคาตลาด บางบริษัทมีค่านิยมมากกว่า 40-50% หรือกว่านั้น ค่านิยมนี้ไม่มีการตัดจำหน่ายแล้วตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ซึ่งมองว่ามันคือส่วนหนึ่งของเงินลงทุน และบริษัทร่วมซื้อมาแพงแค่ไหนก็อยู่ในเงินลงทุน ไม่ได้แยกมาเป็นค่านิยม ดังนั้นเมื่อเห็นค่านิยมแปลว่าซื้อย่อยมาสูงกว่ามูลค่ายุติธรรม จะคุ้มหรือไม่เวลาวิเคราะห์อย่าดูแยกส่วนต้องมองว่าคือสาขาที่เลาเงินไปลงทุน มองภาพรวม ดู ROA D/E GM NM บางบริษัทที่กำลังไปเทคมา (ค้าปลีก) บอกข่าวว่าไปซื้อแท่นพิมพ์ธนบัตรมาคุ้มมากๆ ผมจะไม่สนใจไปมากกว่า ใส่เงินทำสาขาไป 1.88 แสนล้าน ถ้าคิดแบบง่ายๆ ของเดิมได้ ROA ราว 17.5% สาขาใหม่ต้อง gen รายได้สุทธิ ราว 3.3 แสนล้าน ปัจจุบันทำกำไรราว 3.6 แสนล้าน ก็ถือว่าพอเสมอตัวสูงกว่าเล็กน้อย ดังนั้นจะเรียกเครื่องปั๊มเงินคงไม่ใช่เสียทีเดียว และผมมักขี้สงสัย บรษัทถูกซื้อมีรายได้และกำไรกระโดดผิดปกติในช่วงก่อนเทคโอเวอร์ ทั้งที่ก่อนหน้าโตคงที่เรื่อย 4-5 ปีราว 12-13% พอมาปีล่าสุดกระโดไปทันที 15% ส่วนมากก็ SME กำลังซื้อก็ไม่ได้เพิ่มมากมายนัก จึงยังสงสัยว่าสร้างภาพหรือไม่ วิเคราะห์ออกหัวข้อไปหลายเรื่องเลย แต่จะชี้ให้ดูว่าข้อมูลตัวเดียวในงบก็บอกเรื่องราวได้มาก ถ้าเข้าใจจริงและเชื่อมโยงเป็น
1.5 ที่ใกล้ๆกันมาจากที่มาเดียวกันก็คือ กำไรต่อรองจากการซื้อ เกิดขึ้นเมื่อบริษัทไปซื้อกิจการอื่นในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม รายการนี้ต้องระวัง ควรมองว่ามันคือ one-time gain ความผิดเพี้ยนในการใช้ข้อมูลคือ เมื่อหลายคนนะไปวิเคราะห์การเติบโตกำไร ไม่ว่าเพื่อประเมิน PEG หรือใช้ประมาณการหาราคาใน DCF Model ถ้าเอากำไรตัวนี้ไมใช้หาค่า Earning growth จะได้ผลที่เบี่ยงเบนการตัดสินใจต้องเอาออกในการประเมินมูลค่า เพราะสุดท้ายแค่บรษัทไม่มี ส/ม โป่งพองเกินไป ในระยะยาวไม่ต้องเหนื่อยมากเท่านั้น แต่มันไม่ได้สัมพันธ์กับรายได้จริงที่จะเติบโตของทั้งกลุ่มเลย รายการนี้เกิดเมื่อมีการซื้อบริษัย่อย

1.6 กำไรสะสม ในยุคใหม่ หลังมีการใช้งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ หลายคนเวลาอ่านงบการเงินมักคิดว่า กำไรสะสมคือกำไรที่ยังเก็บไว้ในบริษัท สามารถจ่ายปันผลในอนาตตได้ ถูกครับแต่ไม่หมด ในอดีต (ก่อนมีการใช้งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ) มันเป็นเช่นนั้น แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว อดีต ส่วนนี้ แยกออกมาเป็นกำไรที่จัดสรร กำไรที่ยังไม่จัดสรร ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ กำไรขาดทุนจากเงินลงทุนเผื่อขาย กำไรขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงจากกระแสเงินสด (Cashflow hedging) ผลต่างจากการแปลงค่างบการเงิน (จะเกิดขึ้นเมื่อมีบริษัทย่อยในต่างประเทศ) รายการเหล่านี้เมื่อก่อนแสดงแยกภายใต้หัวข้อส่วนของผู้ถือหุ้น เดี๋ยวนี้เอามายำรวมกันใน บางทีแยกยังไม่จัดสรรกับสำรองตามกฎหมายให้ (ซึ่งไม่มีประโยชน์เท่าไรเลย) แต่ก็มีบางบริษัทยังแจงแบบเดิมแยกรายการ ทำได้ทั้งนั้น แต่เห็นนิยมยำรวมกันมากกว่า เพระฉะนั้นเวลาอ่านงบถ้ามีด้วนๆ สั้นๆ แปลว่ายำรวมหมด อยากรู้รายละเอียดต้องไปดูงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นเอา ให้มองว่ากำไรสะสมโดยรวม (แบบยำ) แสดงถึงความมั่งคั่งที่กิจการสะสมมา ซึ่งมีทั้งกำไรสุธิที่คงเหลือสะสมมา ส่วนเกินต่างๆ อย่ามองว่ามีเยอะจะได้ปันผลเยอะ ความจริงปันผลควรมาจากกำไรประจำปีมากกว่า การสะสมควรเกิดจากอัตราปันผลจ่ายที่เหมาะสมเพื่อให้เกิด Sustainable growth ไม่ใช่จ่ายเท่าไรก็จ่าย เก็บไว้จ่ายในอนาคต นี่ถือว่าผิดหลักการบริหารการเงิน เรื่องนี้ เขียนเน้นหลายครั้ง การเลือกลงทุนระยะยาวผมจะดูตัว growth นี้ด้วย ไม่ชอบบริษัทที่เอะอะก็เพิ่มทุน ไม่เน้นพอร์โต แต่เอาแบบชีวิตไปได้อย่างสบายๆ ไม่เดือดร้อนและไม่ชอบให้บริษัมมากวนขอเงินเพิ่มทุน หน้าที่เขาคือจ่ายปันผลดีๆอย่างเดียว บริษัทที่จ่ายอัตราปันผลไม่เหมาะสม ระยะยาวไม่เพิ่มทุนลด D/E ก็จะมี ROE ลดลง หนีไม่พ้นต้องจ่ายหุ้นปันผลและไล่ซื้อหุ้นคืน เดือดร้อนให้ผมต้องมานั่งเทรดเอาตังคืน เพราะผ่านมาไม่ยอมจ่ายปันผลอัตราที่ปกติควรจ่าย

1.7 ส่วนของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย ส่วนนี้คือส่วนที่บริษัทไม่ได้เข้าไปถือครองครอง เช่น ทุนบริษัทย่อยตามราคายุติธรรม 300 ล้านบาท บริษัทเข้าไปถือเพียง 80% นั่นคือจ่ายซื้อ 240 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 60 ล้านบาทจะแสดงไว้ที่รายการนี้ เคยมีคนถามผมในเว็ปบอร์ดวีไอ (เดี่ยวนี้ไม่ได้เข้าไปแล้วเพราะเข้าไม่ได้ เมื่อก่อนมีคนเขาเชิญไปช่วยตอบเลยเข้าได้ พอปรับปรุงเว็ปเข้าไม่ได้เลย) ว่ารายการส่วนของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อยทำไมมันถึงมีมากเกือบเท่าส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ ปกติรายการนี้มักจะพบว่าไม่มากนัก แต่ในกรณีที่ถามซึ่งคือบริษัท ทุนธนชาต มีส่วนของบริษัทใหญ่ 44,845 ลบ ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม 45,441 ลบ ทำไมมากกว่า การเจอตัวเลขแบบนี้พอเห็นก็ทราบได้คร่าวๆเลยว่า บริษัทใหญ่ไปถือราว 50% (ปริ่มๆ) เมื่อไปดูรายละเอียดบริษัทย่อยพบว่าถือธนาคารธนชาตอยู่ 50.96% โดย story คือ ธนาคารธนชาตได้ควบรวมกับธนาคารนครหลวงไทย มีสินทรัพย์รวมกันราว 951,000 ลบ มีสินเชื่อราวราว 759,000 ลบ ปกติธนาคารจะปล่อยกู้ราว 11-12 เท่าของทุน ดังนั้นทุนจะมีคร่าวๆราวในช่วง 80-90 ลบ ถ้าถือ 50% ก็จะมีส่วนที่ไม่มีอำนาจควบคุมราว 40-45 ลบ ถือว่า make sense นี่เป็นเพียงตัวอย่างการอ่านตัวเลขจากงบแล้วตีความ เราไม่ต้องเอาอะไรที่เป๊ะๆ สำหรับบางรายการ เพียงแต่ดูแล้วเห็นภาพรวมบริษัทว่ามีอะไรตรงไหน ก็เพียงพอเพราะเมื่อเราจะลงทุนหุ้นใด เราต้องทราบ Character และ Structure จะได้รู้ว่ากำไรจะมาจากไหนเท่าไร ความเสี่ยงของหุ้นมีอะไรบ้าง
คราวนี้ในการประเมินบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารจะดูอย่างไร (ธนาคารจะซับซ้อนหน่อย และ TCAP ไม่เปิดเผยงบเฉพาะโดยตรงแต่กระจายในหมายตุ จึงยากกกับนักลงทุนทั่วไป พอดีผมพอรู้เรื่องโครงสร้างธุรกิจธนาคารจึงประเมินง่ายหน่อย) สำหรับบริษัททั่วไปให้ดูภาพรวมง่ายๆคือ เอาส่วนของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อยในงบรวม หารด้วยเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะ ก็จะได้ภาพรวมทั้งหมดคร่าวๆว่าบริษัทแม่ถือบรษัทย่อยเฉลี่ยรวมๆราวกี่ % หลายคนอาจบอกว่าบริษัทลงทุนตั้งหลายสิบบริษัท บางแห่งเกือบร้อย ผมบอกว่าไม่ต้องกังวลมากเลย เพราะบริษัทที่มีขนาดเล็กๆ ถือ 100% กับบริษัทย่อยที่มีขนาดใหญ่ เพียง 60% ภาพรวมก็จะได้ออกมาราวๆ 60% นิดๆ ค่า%เฉลี่ยรวมนี้จะถ่วงน้ำหนักไปในตัวแล้ว รายได้จากบริษัทย่อยใหญ่จะมีผลต่องบรวมมากกว่าบริษัทย่อยเล็กอยู่แล้ว ต่อให้โตสองเท่าก็ไม่ส่งผลมาก และปกติบริษัทลงทุนในบริษัทย่อยจะใช้กลยุทธ์ลงทุนในธุนกิจที่ส่งเสริมกันกับบริษัทแม่ เช่นลงทุนใน upstream หรือ downstream เป็นรูปแบบ Vertical Investment Strategy ถ้าลงทุนแบบ Horizntal Investment Strategy จะต้องแสดงงบจำแนกตามส่วนงาน (Segment Report) ในช่วงท้ายๆของหมายเหตุประกอบงบการเงิน ในการวิเคราะห์เช่นนี้ทำให้เรามองเห็นด้านคุณภาพมากขึ้น บางบริษัทมีเงินลงทุนในย่อยคิดเฉลี่ยเพียง 60% กำไรส่วนของบริษัทใหญ่ก็ได้ประโยชน์มาเพียง 60% มีผลต่อตัวเลขการเติบโต EPS ที่ได้รับมาเพียง 60% เช่นกัน

1.8 กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน เรื่องนี้มีมากหลายระเด็นทีพูดกันได้เยอะมาก แต่สิ่งสำคัญและเกือบทุกกคนเผลอนำไปใช้ผิดบ่อยสุดคือ กระแสเงินสดตัวนี้มาตรฐานบัญชีอนุญาตให้แสดงได้ด้วยก่อนหักเงินสดจ่ายดอกเบี้ย (หรือต้นทุนการเงิน) รายการนี้ไม่ใช่ตัวบวกกลับนะครับ บางคนงงมากว่าทำไมต้องปรับปรุงกำไรสุทธิด้วยการบวกดอกเบี้ยจ่ายแล้วหักด้ายเงินสดจ่ายดอกเบี้ยจ่าย เข้าใจง่ายๆคือเอารายการทางบัยชีบวกกลับทั้งหมด แล้วมาหักใหม่ด้วยตัวเลขที่เป็นเงินสดภายหลัง เพราะดอกเบี้ยจ่ายมีทั้งรายการที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน (ตั้งค้างจ่าย) บวกกลับในกำไรก่อนทั้งหมด แล้วค่อยมาหักใหม่อีกที รายการภาษีก็เช่นกัน
รายการกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานสุทธินี้นำไปใช้คำนวณหลายค่า เช่น คุณภาพกำไร (QE = CFO/NI)
Modified ICR = CFO/I บางบริษัทกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานแสดงด้วยยอดที่หักดอกเบี้ยจ่ายเงินสด บางบริษัทแสดงด้วยยอดที่ยังไม่หักดอกเบี้ยจ่ายเงินสด ในสูตรที่เกี่ยวข้องกับการใช้ CFO ต้องเป็นกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานหลังหักดอกเบี้ยเงินสดเท่านั้น วิธีสังเกตง่ายๆเร็วคือไปดูกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินว่ามีรายการหักดอกเบี้ย (ต้นทุนทางการเงิน) หรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานแสดงด้วยยอดที่ยังไม่หักดอกเบี้ยจ่ายเงินสด
[1]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10201223305163128
[2]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10201228814700863

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีวิเคราะห์ว่าบริษัทจะเจ้งหรือไม่

ลงทุนหุ้น turnaround ให้รวยขั้นแรกต้องมั่นใจก่อนว่าบริษัทที่จะลงทุนต้องไม่เจ้งไปซะก่อน เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือเรื่องหนี้สินไม่ว่าธุรกิจคุณจะเป็นเช่นไรยังไงก็ต้องจ่ายหนี้ การใช้อัตราส่วนการวิเคราะห์ความอยู่รอด Solvency Ratio (Leverage Ratio) เป็นอัตราส่วนที่จะตอบคำถามว่าบริษัทว่ามีภาระหนี้มากน้อยเพียงใด และธุรกิจมีปัญหาจ่ายหรือไม่ อยากรู้รายละเอียดเชิญอ่านบทควาามเรื่องนี้จาก อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล[1] โดยพลัน

Financial leverage: ความเสี่ยงทางการเงิน
อัตราส่วนการวิเคราะห์ความอยู่รอด Solvency Ratio (Leverage Ratio) อัตราส่วนกลุ่มนี้เป็นเครื่องชี้ถึงความสามารถในการชำระภาระหนี้สินของกิจการในระยะยาว ซึ่งสำคัญอย่างมากต่อผู้ที่เน้นการลงทุนระยะยาวจริงๆ (ไม่ใช่นักลงทุนประเภท Trading ที่อาจเก็งแต่ผลประกอบการรายไตรมาส ซื้อหุ้นโดยหวังผลเรื่องการเติบกำไรแจะเป็นแรงขับดันราคาหุ้น) แต่สำหรับคนที่จะลงทุนระยะยาวโดยไม่ได้กังวลกับความผันผวนราคาฃรายวัน รายเดือน นอกจากอัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity) ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) ประสิทธิภาพ (Efficiency: พวก Turnover ต่างๆ) แล้ว ตัวที่ละเลยไม่ได้เลยคือ อัตราส่วนความอยู่รอด (Solvency) ที่มีอยู่หลายค่า ตามแต่ที่จะใช้กัน เช่น 
  1. Debt to Equity Ratio (D/E Ratio) = Total Debt / Total Equity
  2. Debt to Asset Ratio = Total Debt / Total Assets
  3. Short-term Debt to Total Debt = S-T Debt / Total Debt 
  4. Interest Coverage Ratio or Times interest Earned = EBIT/ Interest Expense
  5. Modified Interest Coverage Ratio = CFO before interest and tax / Cash of interest payment
  6. Modified Debt Principal Payback Period (Debt Coverage Ratio)= Long-term Liabilities / CFOOr Implied Debt Coverage Ratio = Debt / EBITDA
บางอัตราส่วนก็ไม่ได้ตีความต่างกันนัก เช่น Debt to Equity Ratio (D/E Ratio) กับ Debt to Asset Ratio แต่ที่นิยมก็คือ D/E จะใช้ตัวใดก็ได้ เพียงแต่ตีความให้เป็นเท่านั้น เพราะทั้งสองค่านี้ตีความเหมือนกัน เช่นบริษัทหนึ่งมี D/E เท่ากับ 0.4 ถ้าหาเป็น D/A = 0.29 เพราะ A = D + E เมื่อ D/E = 0.4 แสดงว่า ถ้ามี หนี้สิน Debt อยู่ 4 จะมี Equity อยู่ 10 นั่นคือจะมี Asset เท่ากับ 14 การตีความ D/E หมายถึงโครงสร้างแหล่งทุนบริษัทดังกล่าวมีโครงสร้างการจดห่แหล่งเงินทุน ใช้หนี้สินรวม 40% เทียบกับใช้จากส่วนทุน 100% ค่านี้จะดีหรือไม่ขึ้นกับว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเป็นอย่างไรนั่นคือประเด็นหนึ่ง เพราะหากบริษัทเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมแล้วส่วนใหญ่อยู่ที่ 0.6 แสดงว่า มีโครงสร้างทุนที่เสี่ยงน้อยกว่าแต่ในด้านหนึ่ง ROE อาจต่ำกว่าอุตสาหกรรม แต่นั่นไม่ใช่ข้อสรุปว่าหุ้นนี้ไม่ดี เพราะการมี ROE ที่ต่ำกว่าในขณะที่ความเสี่ยงต่ำกว่านั้น เท่ากับความเสี่ยงกิจการได้ลดลง ทำให้ Expected return ของ Market ที่มีต่อหุ้นลดลงด้วย (High risk High return) ซึ่งได้เคยพุดถึงเรื่องทฤฌฎีโครงสร้างทุนเกี่ยวเรื่องนี้ ไว้บ้างแล้ง ซึ่งค่าความสัมพันธ์ 
ในทฤษฎีการเงินเรื่อง capital structure ต้นทุนหุ้นทุนจะผันแปรโดยตรงกับ D/E เมื่อ 
rk = ผลตอบแทนหุ้นทุนที่ มี Leverage ที่ D/E
r0 = ผลตอบแทนหุ้นทุนที่ ไม่มี Leverage หรือที่ D/E = 0 
rd = ผลตอบแทนหุ้นกู้หรือต้นทุนเงินกู้ 
rk = r0 + (D/E) * (r0 - rd)
เราสามาสรุปแบบคร่าวๆคือ Expected return ของหุ้นที่มี D/E ต่างกัน จะต่างกันราว (D/E1 – D/E2)*r0 แต่ตัวปัญหาก็คือ r0 นี่แหละจะเท่าไรดี ซึ่งควรอยู่ระหว่าง rf (risk free rate) กับ rm (Market return rate)

แต่เอาละนั่นคือภาคทฤษฎี เราไม่ต้องพยายามหาตัวเลขเป๊ะๆหรอก เอาแค่รู้ว่าเมื่อ D/E ของหุ้นสองตัวไม่เท่ากัน หุ้นที่มี D/E สูงกว่าย่อมต้องการ Required of return สูงกว่า ถ้าโยงไปถึง P/E = b / (k-g) แม้จะมีอัตราการจ่ายปันผลเท่ากันและมี growth เท่ากัน แต่ P/E ก็ไม่เท่ากัน เพราะ k หรือ rk จะต่างกันเอาเท่านี้ก็คงพอนึกออกแล้วนะครับว่าทำไมหุ้นมันถึงขึ้นลงมากน้อย (ผันผวน) ต่างกัน ทำไมบางตัว P/E ถึงได้ต่ำแล้วต่ำอีก อุตส่าห์เลือกตัว P/E ต่ำกว่าอุตสาหกรรมยังติดดอยอีก

ส่วนการคีความ D/A คือ ให้อ่านความหมายว่าในการจัดหาสิทรัพย์นั้นใช้หนี้เท่าไร ใช้เงินส่วนของเจ้าของเท่าไร จากตัวอย่างเดิม D/E 0.4 มี D/A = 0.29 (หรือราว 0.3) แสดงว่าสินทรัพย์ 100 บาท กู้มา 30 เจ้าของลงทุน 70 ในการจัดหามา เหมือนกันจะดูว่าดีหรือไม่ก็ต้องเทียบกับอุตสาหกรรม แต่ตัวนี้ลูกเล่นในทางการเงินตรงๆ มีน้อยไม่เท่า D/E ดังที่กล่าวมา นักการเงินเลยไม่นิยมนักเพราะถ้าจะใช้ก็ต้องแปลงเป็น D/E 

ส่วนข้อ 3 Short-term Debt to Total Debt ขึ้นกับแต่ละอุตสาหกรรม เพราะแต่ละอุตสาหกรรมมี โครงสร้างสินทรัพย์หมุนนเวียน และไม่หมุนเวียนต่างกันไปตามลักษณะอุตสาหกรรม เช่นหุ้นอุตสาหกรรมผลิต (หุ้นโรงงาน) กับ โรงพยาบาล หรือ ค้าปลีก พาณิชย์ รับเหมาก่อสร้าง จะมีโครงสร้างตาม Common size แตกต่างกันไป หุ้นโรงงาน จะมี ส/ท ไม่หมุนเวียนราว 60% ของสินทรัพย์รวม จะเป็น ส/ท หมุนเวียน 40% ครึ่งหนึ่งส่วนนี้มักจะเป็นสินค้าคงเหลือ หากสินค้าควรได้เครดิตในการซื้อเกือบทั้งหมด แสดงว่าที่เหลือของ ส/ท หมุนเวียน ถ้าใช้เงินกู้ระยะสั้น ก็ควรใช้ราว 20% เพราะหนี้สินส่วนที่เหลือควรใช้หนี้ระยะยาวเพราะสินทรัพย์ที่เหลือคือ ส/ท ไม่หมุนเวียน และถ้า Current ratio ควรมากกว่า 1 แล้ว หนี้ระยะสั้นก็ควรยิ่งต้องน้อยลงอีก จึงควรที่จะไม่เกิน 30-40% ถ้ามากกว่านี้จะสันนิษฐานว่า มีการใช้เงินกู้ระยะสั้นผิดวัตถุประสงค์ (Unmatched) ไว้เรื่องโครงสร้างของอุตสาหกรรมและการวิเคราะห์นี้จะเขียนภายหลัง เพราะคือส่วนหนึ่งของ Common size analysis ที่ดูพื้นๆ แต่คนที่อ่านงบแบบวิเคราะห์ไม่ใช่อ่านแบบบัญชีจะได้ประญชน์ ยิ่งใช้กับ Trend Analysis แล้วอาจแทบไม่ต้องทำ Ratio analysis เลยด้วยซ้ำ

ยังมีการวัดความเสี่ยงทางการเงินอีกแบบหนึ่ง เป็นการวัดความสัมพันธ์ของต้นทุนคงที่ทางการเงิน (ส่วนใหญ่คือดอกเบี้ย) ของทุน ซึ่งหมายถึงเฉพาะหนี้สิน 
Leverage หมายถึงสิ่งที่สร้างความเสี่ยงให้กับธุรกิจ โดยทั่วไปความเสี่ยงของธุรกิจคือความผันผวนของกำไรหรือกระแสเงินสด ส่วน Leverage ในสูตรที่จะกล่าวถึงนี้จะหมายถึงรายการที่เป็นภาระที่ธุรกิจต้องจ่ายไม่ว่ารายได้จากการดำเนินงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร การวัดภาระความเสี่ยงสามารถวัดได้ สองด้านคือ ระดับภาระความเสี่ยงทางการเงิน และระดับภาระความเสี่ยงในการดำเนินงาน 

เมื่อจะวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีผลต่อกำไรโดยรวม (DTL) จะช่วยให้เข้าใจธุรกิจได้มากนึ้น บางครั้งการเพิ่มทุน หรือจัดตั้งกองทุนอสังหา REIT หรือ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเอาเงินมาลดหนี้สินลง โดยหวังลดดอกเบี้ยก็อาจไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่เพราะความเสี่ยงโดยรวมที่กระทบต่อกำไร (DTL) อาจไม่ได้มาจาก DFL (ความเสี่ยงจากต้นทุนการเงิน) อย่างเดียว แต่อาจมาจาก DOL (ความเสี่ยงจากต้นทุนคงที่ในการดำเนินงาน)
โดยการวิเคราห์องค์ประกอบความเสี่ยงโดยรวมนี้ (DTL) มีดังนี้

1. The degree of financial leverage (DFL)
= % chg in net income / % chg in net operating income 
= EBIT / EBIT - I 

2. The degree of operating leverage (DOL)
= % chg in net operating income / % chg in sales 
= Contribution margin (income) / Contribution income - Fixed cost

3. The degree of total leverage (DTL)
= % chg in net income / % chg in sales
= Contribution margin / EBIT –I
= DFL * DOL 

-ค่าที่ยิ่งสูงของแต่ละตัวบ่งชี้ถึงภาระที่กิจการต้องแบกรับไว้มาก ยิ่งมากแสดงว่าความเสี่ยงยิ่งสูง สะท้อนถึงจุดคุ้มทุนที่ต้องสูงตามไปด้วย
-Operating Brake-even Point = Fixed Cost / Contribution Margin per Unit ค่า DOL แสดงถึงระดับการเปรียบเทียบอัตรากำไรส่วนเกิน (รายได้หักต้นทุนผันแปร) กับกำไรส่วนเกินส่วนที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixes Cost) ซึ่งหมายถึงกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าใช้จ่ายทางการเงินหรือดอกเบี้ย) ค่าที่ยิ่งสูงแสดงว่ากำไรหลังหักค่าใช้จ่ายคงที่จากการดำเนินงาน ก็คือกำไรจากการดำเนินงาน (Contribution Income – Fixed Cost = operating Income) เหลือเพียงเล็กน้อย --- > 1- 1/DOL = FC/CM = ค่าใช้จ่ายคงที่ต่ออัตรากำไรส่วนเกิน
-Financial Break-even Point = EBIT = I, ความสัมพันธ์ ICR กับ DFL คือ 1/ICR = 1-1/DFL
-การวิเคราะห์เปรียบเทียบงวดต่องวด จะช่วยบ่งชี้ให้ผู้บริหารเห็นแนวโน้มภาระจากต้นทุนคงที่ทั้งด้านการดำเนินงานและต้นทุนทางการเงินว่าบริษัทรับภาระมากขึ้นน้อยลงอย่างไร จะช่วยสะท้อนจุดแข็งละจุดอ่อนอีกมุมหนึ่งทางด้านการเงินได้ แต่อัตราส่วนนี้วิเคราะห์จากงบบริษัทอื่นได้ยากเพราะเราไม่สามารถแยกต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรของบริษัทอื่นได้
-การวิเคราะห์ DOL นี้ อาจทำได้โดยการหา DFL และ DTL จากนั้นหาย้อนกลับจากสูตร DTL = DFL * DOL บริษัทที่มี DOL สูง การหาเงินทุนมาลดหนี้ย่อมไม่ช่วยอะไรได้มาก

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กฎมัศจรรย์ของเลข 72

กฎมัศจรรย์ของเลข 72 มีอยู่ว่า การคำนวณว่าเงินออมจะพอกพูนเป็นสองเท่าภายในเวลาเท่าใด ให้นำเลข 72 ตั้ง หารด้วยอัตราผลตอบแทนที่ได้ กล่าวคือ หากได้ผลตอบแทน 1% เงิน 1 ล้านจะเพิ่มเป็น 2ล้าน ต้องใช้เวลา 72 หารด้วย 1 = ใช้เวลา 72 ปี เป็นต้น

ที่มาของเลข 72
ถ้าฝากเงินในปัจจุบันเท่ากับ pv บาท ที่ผลตอบแทนทบต้นเท่ากับ r% เป็นเวลา n ปี สามารถมูลค่าของเงินในอนาคตเท่ากับ

  • FV = PV x (1+r)^n                                               ...(1)

ให้เงินอนาคตโต 2 เท่าจากปัจจุบันจะได้

  •  FV = 2PV                                                            ...(2) 
  • แทนค่า (2) ใน (1) จะได้:  2PV = PV x (1+r)^n     
  • 2 = (1+r)^n
  • n =log2 ฐาน(1+r) 
  • เปลี่ยนให้เป็นฐาน log ฐาน e จะได้ n = ln2/ln(1+r)  ...(3)
    โดยที่ ln 2 มีค่าประมาณ 0.693  

ตัวเลขเป๊ะมันหายาก คุณ Luca Pacioli (1445–1514) ได้คิดกฎเลข 72 มาประมาณหาค่าเวลาที่ทำให้ เงินเราโต 2 เท่าคับ ซึ่งตัวเศษยังมีได้อีกหลายค่าเช่น 72, 70, 69.3 ฯลฯ

มันเยี่ยมจริงๆ เจริญในการลงทุนทุกท่านครับ

ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Rule_of_72

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สนุกกับส่วนของทุน ลดทุน,เพิ่มทุน,ซื้อหุ้นคืน,จ่ายหุ้นปันผล


ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี โดย อ.สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล [1] [2] เขียนเรื่องการลดทุน,เพิ่มทุน,ซื้อหุ้นคืน,จ่ายหุ้นปันผล ได้เยี่ยมมากพร้อมทั้งผลกระทบที่มีต่อมูลค่าหุ้น

ในด้านการวิเคราะห์กี่ยวกับส่วนของผู้ถือหุ้น มีธุรกรรมเกิดได้หลากหลายรูปแบบ แต่ที่พบในงบการเงินมีธุรกรรมหลักๆ ที่เห็นกันมาก และควรเข้าใจผลกระทบทางด้านการเงินของธุรกิจ ไม่ใช่เพียงผลด้านที่มีต่อผู้ถือหุ้นเท่านั้น เพื่อให้มองภาพเหล่านี้ นักลงทุนควรตั้งต้นจากสมการบัญชีเป็นหลัก จะเห็นภาพและเข้าใจผลกระทบที่เกิดได้ดีกว่า เข้าใจว่าวิธีการทางบัญชีไปมาอย่างไร 
กปป.สินทรัพย์ = กปป. หนี้สิน + กปป ทุน 

1 การลดทุนโดยการตัดขาดทุนสะสมกับหุ้นทุน 

ส่วนผู้ถือหุ้นรวมไม่กระทบ เพราะขาดทุนสะสมก็นำมาหักลดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ข้อเสียคือ หุ้นเราหายไปแน่นอน ข้อดีคือ ถ้าปีหน้ามีกำไรจะจ่ายปันผลได้ เพราะถ้ามีขาดทุนสะสมอยู่ต้องเอากำไรไปล้างให้หมดก่อน จึงจ่ายปันผลได้ หลายบริษัทที่ลดทุนเพราะเมื่อปรับโครงสร้างหนี้ นักลงทุนใหม่จะมาเขาไม่มาแบกขาดทุนสะสมหลายๆปีหรอก เขาเข้ามาแล้วถ้ามีกำไร เขาต้องได้ผลอบแทนคืน 
  • กปป.สินทรัพย์ = 0 ไม่ต้องจ่ายเงินสดหรือได้รับเงินสด หรือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ใดๆ
  • กปป.หนี้สิน = 0 ไม่มีการจ่ายชำระหนี้สินใดๆ หรือเพิ่ม/ลดหนี้สิน
  • กปป ทุน = 0 ส่วนของหุ้นทุนลดลง เท่ากับส่วนของขาดทุนสะสมที่ลดลงในจำนวนเท่าๆกัน
ดังนั้จากสมการบัญชีจึงสรุปได้ว่า ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าอย่างใดในงบการแสดงฐานะการเงิน เพียงแต่ผลภายในส่วนของทุนเท่านั้น ดังนั้น BV เท่าดิมแต่ทุนลดลงเท่ากับขาดทุนที่ลดลง นั่นคือหุ้นหายไป ข้อดีอย่างที่กล่าวคือจ่ายปันผลได้เร็วขึ้น การจ่ายปันผล ในทางกฎหมาย จ่ายได้เมื่อ 
  1. ปีนั้นต้องมีกำไร 
  2. บริษัทต้องมีกำไรสะสม และทุกครั้งที่จ่ายปันผลต้องตั้งสำรองรองอย่างน้อย 5% จนกว่าสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินทุน(ถ้ามี) รวมกันมากกว่า 10% ของทุนจดทะเบียนก็ให้หยุดสำรองได้หรือไม่ต้องสำรองต่อได้ ส่วนมากบริษัทท่มีปัญหาขาดทุนสะสมมาก จะตัดลดส่วนเกินทุนก่อน แล้วจึงมาลดหุ้นทุนเป็นลำดับต่อไป

2 การเพิ่มทุน 

บริษัทได้เม็ดเงินเข้าบริษัท แต่ก็จะเกิด dilution effect คือ กำไรต่อหุ้นจะปรับลดลงเพราะจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น (อ่านกำไรต่อหุ้นพื้นฐานและกำไรต่อหุ้นปรับลดประกอบด้วยก็จะดีครับ) ถ้าบริษัททำกำไรเพิ่มได้มากพอกับหุ้นที่เพิ่มก็จะไม่เกิด dilute มาก ดังนั้นถ้ารักษา ROE ได้ก็ไม่กระทบ ดังนั้นถ้าบริษัทประกาศเพิ่มทุน ไม่ว่า PO (public offering ขายให้คนทั่วไป แต่ไม่ใช่การขายครั้งแรก-IPO) PP (private placement-ขายนักลงทุนอื่นแบบเฉพาะเจาะจง) หรือ ขึ้น XR ขายกับผูถือหุ้นเดิม หลักวิเคราะห์ ได้เงินรวมไปเท่าไร กี่พันล้านบาท เอาไปใช้ทำอะไร ลงทุนขยายงานอะไร กำไรที่ได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าไรกับเงินที่เอาไป ใช้หลักคล้ายๆกับเรื่องตัดสินใจ capital expenditure ถ้า return on investment > ROE อันนี้ดี
ในด้านบัญชี งบการเงิน ณ วันที่เพิ่มทุนเป็นดังนี้
  • กปป.สินทรัพย์ = x ได้เงินสดเพิ่มขึ้นเท่าเม็ดเงินที่เพิ่มทุน เช่น เพิ่มทุน 1,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 3 บาท รวมได้เงินมา 3,000 ล้านบาท
  • กปป.หนี้สิน = 0 ไม่มีการจ่ายชำระหนี้สินใดๆ หรือเพิ่ม/ลดหนี้สิน
  • กปป ทุน = x ส่วนของหุ้นทุนเพิ่มขึ้น โดยส่วนที่เพิ่มจะเพิ่มในสองส่วนคือ ทุนที่เรียกชำระแล้ว ส่วนนี่จะเพิ่มเท่ากับเม็ดหุ้นคูณกับราคาพาร์ และส่วนที่เหลือ (3,000-หุ้นทุนที่เพิ่มตามราคาพาร์) จะเพิ่มในส่วนเกินมูลค่าหุ้น สมมติราคารพาร์เท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น กปป ทุน = 1,000 + 2,000 
  • กปป.สินทรัพย์ = กปป. หนี้สิน + กปป ทุน 3,000 = 0 + 1,000 +2,000 
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีกำไร ตัวหารกำไรคือจำนวนหุ้นจะเพิ่มขึ้นดังนั้นกำไรที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพิ่มเท่าส่วนหุ้นที่เพิ่ม แต่เพื่มควรไม่น้อนกว่า % ของจำนวนหุ้นที่เพิ่ม จึงไม่เกิด dilution ของกำไรต่อหุ้น เช่นดังตัวอย่างเดิม ก่อนเพิ่มทุนมีหุ้นอยู่แล้ว 2,000 ล้านหุ้น ปีที่แล้วมีกำไร 3,600 ล้านบาท สมมติเพิ่มทุนต้นปีพอดี ปีถัดมาจะต้องใช้จำนวนหุ้น (2,000+1,000) หารกำไร ปีที่แล้ว EPS = 3,600/2,000 = 1.80 บาท จำวนหุ้นเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านหุ้น เกิด dilution หรือ dilutive effect = 1,000/(2,000+1000) = 1/3 ถ้ากำไรเท่าเดิม EPS จะลดลงเหลือ 1.20 บาท แต่ถ้าจะให้มี EPS เท่าเดิม ต้องมีกำไรเท่ากับ 3,600 / (1-1/3) = 3,600*3/2 = 5,400 EPS จึงจะได้ 5,400/3,000 = 1.80 เท่าเดิม สามารถสรุปเป็นสูตรได้ดังนี้
Dilutive effect (Dilution) = จำนวนหุ้นใหม่ (x) / (จำนวนหุ้นเดิม y + จำนวนหุ้นใหม่ x ) = x /(y+x)
อัตราเพิ่มของกำไรที่จะไม่เกิด dilution = 1/(1-%dilute)

ตย. บริษัทประกาศเพิ่มทุน 5:3 ผู้ถือหุ้นเดิม 5 หุ้นจะสามารถซื้อหุ้นใหม่ได้ 3 หุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาท
Dilutive effect (Dilution) = 3/(5=3) = 2/8 = 37.5%
ปีหน้าบริษัทต้องมีกำไรเพิ่ม = 1 /(1-37.5%) = 1/(1-.375) = 1/0.625 = 1.6 หรือเพิ่มขึ้น 60% ก็จะไม่เกิด dilution
ถ้าบริษัทมีกำไร 6,510 ลบ. EPS = 1.24 (หุ้นเดิม 5,250 ล.หุ้น)
ปีหน้าต้องมีกำไร 6,510 x 1.6 = 10,416 ลบ. (หุ้นใหม่หลังเพิ่มทุน 8,400 ล.หุ้น) EPS (fully diluted) จึงได้ 1.24
หมายความว่าถ้าเดิมราคาหุ้นอยู่ที่ 20 บาท P/E = 16.13
หากราคาจะกลับมาที่เดิม 20 บาท ระดับ P/E เดิมที่ 16.13 ต้องมีกำไรเพิ่ม 60%

แต่เนื่องจาก การเพิ่มทุนมักเป็นการให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม (XR Right Issue) ดังนั้นต้นทุนเฉลี่ยราคา trade ในกระดานจะปรับไปด้วย จากตัวอย่างเดิม ประกาศเพิ่มทุน 5:3 ผู้ถือหุ้นเดิม 5 หุ้นจะสามารถซื้อหุ้นใหม่ได้ 3 หุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาท
  • ราคาหุ้นใหม่ = (หุ้นเดิม x ราคาเดิมก่อนเพิ่มทุน + หุ้นใหม่ X ราคาเพิ่มทุน) / (หุ้นเดิม +หุ้นใหม่) 
  • = (5x20+ 3x10) / (5+3) = 16.25
เท่ากับ P/E ใหม่เป็น 16.25/1.24 = 13.10 ดูคล้ายกับ P/E ลดลง ซึ่งไม่ใช่เราต้องคำนวณใหม่ ใช้หุ้นรวมใหม่จาก 5,250 ล.หุ้น เป็น 8,400 ล.หุ้น จะได้ EPS (fully dilute) เป็น 0.775 บาท P/E ใหม่หลังเพิ่มทุนจะเท่ากับ 16.25/0.775 = 20.96 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ P/E = 16.13 หากตลาดเป็น EMH (Efficiency Market Hypothesis) แล้ว
ถ้าปีหน้ากำไรเพิ่ม 30.3% EPS (fully dilute) เป็น 1.007 ราคาหุ้นจะกลับมาที่ P/E = 16.13 ที่ราคา 16.25 และถ้าจะกลับไปที่ 20 บาทใหม่ที่ P/E = 16.13 ต้องมี EPS ที่ 1.24 กำไรยังคงต้องเพิ่มขึ้น 60% เช่นเดิม

จะเห็นว่าการเพิ่มทุนนั้นหากเราเป็นผู้ถือหุ้นเดิมควรต้องใช้สิทธิเพิ่มทุนเท่านั้นจึงกดดันน้อยกว่า หากจะซื้อหุ้นโดยไม่อยากเพิ่มทุนควรต้องรอ เพราะอัตราส่วนหุ้นเดิม : หุ้นใหม่และราคาเพิ่มทุน มีผลต่อ การปรับลดราคาต้นทุนในกระดานและอัตรากำไรที่ต้องเพิ่มขึ้น เพราะกำไรต้องเพิ่มไม่น้อยกว่า EPSที่ ปรับขึ้นเพราะการเพิ่มทุน (จากตัวอย่างกำไรปีหน้าถ้าเพิ่ม 29.9% P/E จะลดลงจาก 20.96 เป็น 16.13 ราคาจึงเท่าทุน ถ้าจะมีกำไรพิ่มมากกว่านี้ราคาหุ้นจึงจะขึ้นด้วยระดับ P/E เดิม)

ถ้าจ่ายหุ้นปันผล ราคาหุ้นใหม่ คือ 0 บาท จ่ายหุ้นปันผลในอัตรา 8 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นปันผล ราคาปัจจุบัน 30 บาท
ราคาใหม่จะเท่ากับ (8x30 + 0x1) / (8+1) = 240 / 9 = 26.67 บาท 

หากคิดจะลงทุนหุ้นเหิ่มทุนต้องคำนวณเป็นจะได้เข้าใจว่าราคา ณ ตอนนี้ซื้อได้หรือไม่

3 การซื้อหุ้นคืน Treasury stock 

เป็นการสร้างผลตอบแทนให้กิจการแบบหนึ่งแทนที่จะเอาเงินจ่ายปันผล ก็เอามาซื้อหุ้นออกมาจากตลาดเข้าบริษัท วิธีนี้ไม่ใช่การลดทุน เพราะผู้ถือหุ้นไม่เสียหาย เพียงแต่บริษัทเอาหุ้นบางส่วนคืนจากนักลงทุนที่ไม่อยากลงทุนในบริษัทต่อไป แทนที่จะขายทิ้ง (กดราคา) บริษัทรับซื้อกลับ ทำให้จำนวนหุ้นลดลง EPS จะสูงขึ้น (ถ้ากำไรไม่ลดลง) ถ้าระดับ P/E คงเดิม ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็เปลี่ยนจากหุ้นบางส่วนเป็นเงินได้ (วิธีนี้ช่วยบริหารภาษีให้ผู้ถือหุ้นด้วย) การซื้อหุ้นคืน ส่วนเจ้าของจะลดลงจากหุ้นซื้อคืน ROE จะเพิ่มขึ้น

การที่บริษัทซื้อหุ้นคืนนั้น มองในภาพใหญ่ก็คือ หุ้นที่เหลืออยู่จะมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นส่วนแบ่งกำไรของผู้ถือหุ้นแต่ละหุ้นก็จะมากขึ้น ซึ่งราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นได้ ผู้ถือหุ้นอยู่ก็จะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคา มองอีกด้านหนึ่ง การซื้อหุ้นคืนนั้น อาจจะเหมือนกับว่าผู้ถือหุ้นบริษัทเห็นว่าหุ้นของบริษัทมีราคาถูกมากอยากจะซื้อหุ้นเพิ่มแต่ไม่มีเงินแล้วหรือคิดว่าไม่อยากจะเสี่ยงเพิ่มอีก แต่ว่าตัวบริษัทเองนั้นมีเงินอยู่ ผู้ถือหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทจึงคิดว่าเราน่าจะใช้เงินบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นแทน และถ้าผู้บริหารบริษัทเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าหุ้นของบริษัทนั้นมีราคาถูกเกินไปจริง ๆ เมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท การซื้อหุ้นบริษัทคืนก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีและความเสี่ยงน่าจะมีจำกัด และนี่ก็คือที่มาของการที่บริษัทจะซื้อหุ้นของตนเองคืนจากตลาดหุ้น

โดยการซื้อหุ้นคืนใน "บางครั้ง" จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ถือหุ้นบริษัทเห็นว่าหุ้นของบริษัทมีราคาถูกมาก หรือต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นเลยอยากจะซื้อหุ้นเพิ่มแต่ไม่มีเงินแล้วหรือไม่อยากจะเสี่ยงเพิ่มอีก แต่ว่าตัวบริษัทเองนั้นมีเงินอยู่ ผู้ถือหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทจึงคิดว่าน่าจะใช้เงินบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นแทน ในการประชุมผู้ถือหุ้นจึงมีมติให้มีการซ้อหุ้นคืน 

บริษัทที่ทำการซื้อหุ้นคืนควรมีกำไรสะสมและสภาพคล่องทางการเงินสูง ผลของการซื้อหุ้นคืน ทำให้จำนวนหุ้นลดลง และ EPS เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในด้านบัญชีวิเคราะห์จากสมการบัญชีดั้งนี้
  • กปป.สินทรัพย์ = กปป. หนี้สิน + กปป ทุน
  • การซื้อหุ้นคืน เงินสดลดลง และส่วนทุนลดลง เท่าๆกันเช่น บริษัทมีสินทรัพย์ หนี้สิน และทุน ดังนี้
  • 1,000 = 500 + 500
  • ซื้อหุ้นคืน 200 ลบ (งบการเงินจะแสดงหุ้นซื้อคืนเป็นลบในส่วนของผ้ถือหุ้น)
  • 1,000 -200 = 500 + (500-200)
  • 800 = 500 + 300
จะเห็นว่าส่วนของเจ้าของลดลง ถ้ากำไรเท่าเดิม ROE จะเพิ่มขึ้น EPS ก็จะเพิ่มขึ้นจากจำนวนหุ้นที่ลดลง

ในด้านตลาดทุนเหมือนดี เพราะ Investors ดูจะได้ประโยชน์ แต่ลองมาดูในด้านอื่นๆ และ Corporate financial management อีกมุมหนึ่งของตลาดทุนต้องพิจารณาว่าผู้บริหารกำลังส่งสัญญาณว่า
  1. ราคาหุ้นถูกเกินไป หรือ ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
  2. ไม่มีโครงการใหม่ที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าต้นทุนเงินทุนของบริษัท บริษัทจึงเอาเงินไปลงทุนในหุ้นตนเองแทน เพราะการลงทุนซื้อหุ้นตนเองได้ผลตอบแทนเท่ากับ ROE ปกติกิจการจะลงทุนเมื่อผลตอบแทนโครงการ IRR > WACC เพราะการลงทุนในโครงการที่ได้ผลตอบแทน > WACC จะทำให้เพิ่มมูลค่ากิจการ (Maximize shareholders’ value) ทางเลือกที่ถูกต้องคือเอาเงินไปลงในโคงการที่ได้ผลตอบแทน > WACC หากกิจการเอาเงินมาซื้อหุ้นตัวเองแสดงว่า ไม่มีโครงการลงทุนใหม่ที่น่าสนใจและให้ผลตอบแทนดีกว่าเดิม
  3. และจากสมการบัญชีพบว่าการซื้อหุ้นคืนทำให้กิจการลดขนาดลง นั่นคือกำลังจะ down sizing ตนเองลงอุตสาหกรรมกำลังชะลอตัวหรือหดตัวลงใช่หรือไม่
  4. การซื้อหุ้นคืนทำให้ ROE สูงขึ้นก็จริง แต่ D/E ก็สูงขึ้นด้วย ค่า D/E ที่เพิ่มขึ้นหมายถึง ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หมายความว่า ต้นทุนเงินทุนเพิ่มขึ้น และทำให้ expected return ของหุ้นทุนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของ ROE ไม่ได้สะท้อนว่าราคาหุ้นต้องขึ้น เพราะเมื่อต้นทุน Cost of Capital เพิ่ม Expected Return หรือ Discount rate ใน DCF Model สูงขึ้น มูลค่ารวมจะลดลง เพียงแต่จำนวนหุ้นลดลงมากกว่า ทำให้เมื่อหารให้เป็นราคาต่อหุ้นดูสูงขึ้นดังนั้นในทางทฤษฎีแล้ว การซื้อหุ้นคืนจึงไม่ใช่การ Maximize shareholders’ value แต่เพียงผลทางจิตวิทยาตลาดทุนที่ทำให้หุ้นขึ้นเท่านั้นแต่ไม่เกิด value addedโดยรวมในด้าน corporate financial management
  5. บริษัททำด้วยเหตุผลที่อยากจะให้ราคาหุ้นของตนเองเพิ่มขึ้น เพราะคิดว่าแรงซื้อจากบริษัทจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น พูดง่ายๆ คือปั่นหุ้นตนเอง

ในทฤษฎีการเงินเรื่อง capital structure ต้นทุนหุ้นทุนจะผันแปรโดยตรงกับ D/E เมื่อ 
  • rk = ผลตอบแทนหุ้นทุนที่ มี Leverage ที่ D/E
  • r0 = ผลตอบแทนหุ้นทุนที่ ไม่มี Leverage หรือที่ D/E = 0 
  • rd = ผลตอบแทนหุ้นกู้หรือต้นทุนเงินกู้ 
  • rk = r0 + (D/E) * (r0 - rd)

ถ้าพิจารณาที่เบต้า ซึ่งใช้วัดความเสี่ยงเมื่อ D/E เพิ่ม (ไม่ว่าจะจากการก่อหนี้เพิ่มหรือการซื้อหุ้นคืนก็ตาม) ต้นทุนหรือ Required rate of return of Equity ย่อมเพิ่มขึ้นด้วยเสมอ ดังสมการ
beta1 = beta0(1 + D/E) beta0 คือ betaหุ้นที่ไม่ที่หนี้

ดังนั้นเมื่อบรษัทซี้อหุ้นคืนผลระยะยาวทางการเงินที่ตามมาต้องไม่ลืมคือ Risk เพิ่ม Return ที่ต้องการเพิ่มขึ้นตาม

การซื้อหุ้นคืนทำให้ D/E สูงขึ้นและทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected return) สูงขึ้น ย้ำให้เข้าใจอีกครับว่า Expected return ไม่ใช่ ผลตอบแทนที่เกิดขึ้น หมายความว่าหากหุ้นใดมี Expected return สูงไม่ใช่ว่าหุ้นจะต้องขึ้น แต่ Expected return หรือผลตอบแทนที่คาดหวังนี้จะหมายถึงอัตราคิดลดใน DCF Model (Discount Cash Flow Model) ที่ใช้ในการประเมินกระแสเงินสดในอนาคตมาเป็นมูลค่าหุ้นในปัจจุบันจะมากขึ้น และเมื่อใดที่ Expected return หรือผลตอบแทนที่คาดหวังสูงขึ้นโดยที่ กระแสเงินสดในอนาคตไม่ได้เพิ่มตามล้ว ราคาหุ้นที่ควรเป็นจะลดลง นี่คือเหตุผลที่เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ราคาหุ้นจะลง เพราะดอกเบี้ยที่ขึ้นทำให้ Expected return เพิ่มขึ้นนั่นเอง (ใน CAPM : r = rf + beta(rm - rf) เมื่อ rm คือ market return และ rf คือ risk free rate ดอกเบี้ยจะหมายถึง rf นั่นเอง)
ในที่นี้เอา JAS มาเปนตัวอย่างเพราะมีการซื้อหุ้นคืนชัดเจนในจำนวนมากส่วน BANPUเพิ่งเริ่มและงบจากข้อมูลตลาดเพิ่งแสดงปิดที่ ไตรมาส1/56 ปีที่งบแสดงเครื่องหมาย xxx คือปี่ที่มีการซื้อหุ้นคืน ถ้าสังเกตให้ดี ปีที่มีการซื้อคืน D/E เพิ่มขึ้นอีกกว่าเดิม 0.5 เท่า
JAS (ล้านบาท)
งวดงบการเงิน งบปี 52 งบปี 53 งบปี 54 งบปี 55 ไตรมาส1/56
สินทรัพย์รวม 15,944.25 19,301.75 19,460.07 19,400.47 19,803.55
หนี้สินรวม 9,284.62 11,919.51 11,360.50 9,689.10 8,955.55
ส่วนของผู้ถือหุ้น 5,807.43 6,568.23 7,114.15 8,691.64 9,806.76
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว 4,715.81 3,699.75 3,622.13 3,622.13 3,568.70
รายได้รวม 8,590.51 9,836.30 9,582.64 10,501.85 2,717.22
กำไรสุทธิ 203.52 663.29 1,072.50 2,136.50 775.61
กำไรต่อหุ้น (บาท) 0.03 0.1 0.15 0.3 0.11
อัตราส่วนทางการเงิน
D/E 1.60 1.81 1.60 1.11 0.91
ราคาล่าสุด(บาท) 0.49 2 2.06 5.4 8.45
P/E (เท่า) 5.21 37.36 21.9 20.36 24.66
ROE(%) 3.73 10.72 15.68 27.03 28.33
% EPS 233% 50% 100% -63%
% Revenues 15% -3% 10% -12%
*** Q1/56เทียบกับ Q1/55
จากสูตร rk = r0 + (D/E) * (r0 - rd) ในเรื่อง capital structure เราสามารนำมาเขียนใหม่ได้เป็น
rk = (1+D/E)*r0 - (D/E) * rd ถ้าเขียนเป็นสมการความสัมพันธ์การเปลี่ยนแปลง D/E จะได้ดังนี้
กปป rk = (กปปD/E)*(r0 - rd) ดังนั้นถ้า r0 - rd มีส่วนต่างราว 7-8% (risk premium) กปป D/E เท่ากับ 0.5 เท่า rk จะต้องการเพิ่มขึ้น ราว 3.5-4% มูลค่าธุรกิจจะลดลงราว 3-4% เช่นกัน (Zero growth Model) ถ้าคิดที่กระแสเงินสดจากปัจจุบัน

ดงนั้นที่นักลงทุนต้องคิดต่อคือนำเอาแนวคิด PEG มาพิจารณาร่วมกับระดับ P/E ปัจจุบันก็ประเมินได้ว่าในระยะยาวจะเป็นอย่างไร
P/Eปัจจุบัน 24.8 เท่า หมายความว่า EPS Growth ต้องไม่น้อยกว่า 24.8% หรือราว 0.4 บาท

จุดที่ต้องคอยเฝ้าระวังห่างๆ (ระวังความผันผวน) คือ Higher D/E means higher Risk

4 การจ่ายหุ้นปันผล

 คล้ายๆกับ การซื้อหุ้นคืนคือแทนที่จะเอาเงินจ่ายปันผล ก็จ่ายเป็นหุ้นแทน ส่วนใหญ่บริษัทมีกำไรมากและอยากเก็บเงินสสดไว้ใช้ดำเนินงาน ก็จ่ายเป็นหุ้นแทน ให้ผู้ถือหุ้นไปเอาเงินสดจากตลาดแทน หรือใครจะถือต่อก็ได้ การจ่ายหุ้นปันผลไม่กระทบกับส่วนเจ้าของ เพราะย้ายกำไรสะสมขึ้นไปเป็นเป็นหุ้นทุน แต่ผลกระทบคือ เม็ดหุ้นมากขึ้น อาจเกิด dilution effect ได้ แม้จะทำกำไรเท่าเดิม ROE เท่าเดิม แต่โดยรวมๆ wealth ของนักลงทุนคงที่ที่ระดับ P/E นั้น เพราะ EPS ลดลง Price ลดลง แต่จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นชดเชยแทน
จะเห็นว่าแค่ทุน ยังมีวิธีการมากมายในการบริหาร ทุกการกระทำล้วนต้องมีหลักการและเหตุผลที่ดี หลายบริษัท เดี๋ยวซื้อหุ้นคืนกลับ นัยหนึ่งที่ควรพิจารณาคือ การซื้อคืน แสดงว่า เหลือเงิน ไม่มี project ใหม่ขยายออกไปแล้ว หรือโคงการใหม่ๆ มีผลตอบแทนน้อยกว่า existing project เพราะถ้ามีทำไมไม่ลงทุนให้เราเพื่อเพิ่มกำไร ทางทฤษฎ๊การเงิน แสดงว่ากิจการเข้าสู่วงจรชะลอตัวถึงถดถอย คล้ายๆ กับบรฺทที่จ่ายอัตราปันผลมากๆ 60-70% หรือ อาจเกือบ 100% แสดงว่ากาเอาเงินไป reinvest หรือไม่ม๊โครงการที่สร้างผลกำไรเพิ่มได้ การซื้อหุ้นคืนกลับย่อมไม่ช่เรื่องดีนัก เพราะด้านหนึ่ง กิจการแต่ง ROE ด้วย

ส่วนการจ่ายหุ้นปันผล มี 2 นัย คือ กิจการไม่มีเงินสดมากพอ ก่อหนี้ก็ไม่ไหว ในมุมหนึ่งคือมีเงินแต่กิจการเห็นโอกาสลงทุนในโครงการใหม่ว่าให้ประโยชน์มากกว่า (ROCI) หากเป็นเช่นนั้นไม่จ่ายปันผลเลยก็ได้ เพราะการจ่ายหุ้นปันผลทำให้ EPS เกิด dilute ถ้ากำไรไม่มากพอกับหุ้นที่เพิ่มจะทำให้ราคาหุ้นลดลง

การวิเคราะห์ทางบัญชี
  • กปป.สินทรัพย์ = กปป. หนี้สิน + กปป ทุน
  • 0 = 0 + (RE ลดลง) + หุ้นทุนเพิ่ม การจ่ายหุ้นปันผลจึงไม่กระทบกับส่วนเจ้าของ
  • ถ้ากำไรไม่เพิ่ม ราคาหุ้นจะลดลงเพราะเกิด dilution ไม่เช่นนั้น P/E จะสูงขึ้น
วิธีการคิด dilution ใช้หลักการเหมือนเรื่องเพิ่มทุน
[1]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10200763877957735
[2]https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10200769253332116