ระยะนี้เป็นฤดูการประกาศผลประกอบการปี2556ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
หลายบริษัทมีผลประกอบการที่ดี
หลายบริษัทไม่ดีนัก บางบริษัทออกไปทางแย่มากๆ
ผมเลยถือโอกาสเสนอแนะวิธีการดูว่าราคาหุ้นของบริษัทต่างๆ ถูกหรือแพง ครับ
ผลประกอบการมีผลต่อราคาหุ้นครับ
แม้ว่าที่ประกาศออกมาจะเป็นผลงานในอดีต
และผลงานที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตจึงจะเป็นพระเอกตัวจริงที่มีผลต่อราคาหุ้น
แต่ผลงานในอดีตก็มักจะสะท้อนการคาดการณ์ไปในอนาคต
เมื่อมีผลประกอบการ
เราก็จะรู้ อัตรา PE หรือ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น ว่าสูงหรือต่ำ
โดยปกติ หากสูง ก็ถือว่าหุ้นราคาแพง หากต่ำก็ถูก
แต่นักลงทุนที่ลึกซึ้งลงไปอีกนิดนั้น นอกจากจะมอง PE แล้ว ก็จะมองเอาอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น—G---มาดูด้วย
หรือที่เรียกกันว่า peg
โดยเอาราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PE) มาเปรียบเทียบกับการเติบโต (G) ว่าเป็นอย่างไร
ปกติก็จะใช้ระดับที่ PE กับอัตราการเติบโต พอๆกัน หรือ PEG ประมาณ 1 เป็นเกณฑ์มาตรฐาน
หาก PE สูงกว่าอัตราการเติบโตมากๆ หรือ PEG สูงกว่า 1 มากๆ ก็ถือว่าราคาหุ้นแพง
หาก PEG ต่อกว่า 1 ก็ถือว่าราคาถูก
เป็นเกณฑ์มาตรที่ใช้ได้ง่ายๆ และมีผลงานวิจัยรับรองว่าใช้ได้ผลครับ
ว่างๆพอมีเวลา ก็ลองเอากำไรกับการเติบโตของหุ้นที่ถืออยู่มาคิดกันดูเล่นๆนะครับ
เมื่อวานนี้ ผมได้พูดถึงการเอา PEG มาใช้
โดยการดูว่าหุ้นนั้นๆ มี peg สูงหรือต่ำ
เกณฑ์คร่าวๆคือประมาณ 1
หากมากกว่า1 ประมาณว่าราคาแพง หากน้อยกว่า1 ก็ถูก
ตารางผลตอบแทน |
กราฟแสดงผลตอบแทน |
วันนี้เลยเอาผลงานวิจัยที่ทำมา 2-3ปีแล้ว
มาเล่าสั้นๆอีกที (เคยเล่ามาครั้งหนึ่งแล้วครับ)
ผลการเลือกหุ้นโดยใช้ peg
เลือกหุ้นที่ peg ต่ำที่สุด 10 ตัว ในตลาดหุ้นไทย
ซื้อต้นปีขายปลายปี ทุกปี ตั้งแต่ 1999-2010
ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 36.30% ต่อปี
เทียบกับตลาดรวมที่ได้ 12.72 ต่อปี
และสมมุติเอาเงิน 1 ล้านบาทลงทุนตามนี้
ใน12ปีจะได้ตามรูปครับ
ทั้งนี้เป็นงานวิจัยที่มีข้อสมมุติแยะนะครับ
เช่นสามารถซื้อหุ้นที่มี peg ต่ำๆ ได้ตามจำนวนที่ต้องการ
และอื่นๆอีก
หากจะเอาไปใช้เป็นแนวทางการลงทุน ต้องประยุกต์อีกแยะครับ
ที่บอกได้คือ peg เอาไปใช้เป็นแนวทางการลงทุนได้ครับ
[1]https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/posts/611319358938886?stream_ref=10
[2]https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/posts/611760262228129?stream_ref=10