ขอบอกว่างานอดิเรกของผมคือสอบ CISA ที่เป็นหลักสูตรที่เนื้อหาเดียวกับ CFA เพราะใช้ตำราเล่มเดียวกัน แต่เป็นของไทย จัดสอบโดย TSI เหตผลก็ง่ายๆครับคืออยากรู้ว่านักวิเคราะห์ที่พูดกรอกหูให้เราฟังพอฟังให้เคลิ้มๆก็เอาเงินออมทั้งชีวิตไปลงทุนเขาคิดอะไร ก็มาดูหลักสูตรสำหรับนักวิเคราะห์ที่เขานิยมสอบกันก็คือ CISA ของไทย CFA อเมริกา เปรียบเทียบราคาแล้วสอบก็เลือกสอบ CISA ของไทยครับเพราะแยกสอบเป็นหมวดๆได้ แต่ต้องสอบให้ผ่านทุกหมวดใน 2 ปี ส่วน CFA เครียดกว่าหน่อยเพราะสอบครั้งเดียว ค่าสอบก็แพง เอาเงินส่วนต่างมาลงทุนดีกว่า
เนื้อหาที่ต้องสอบมีอะไรบ้าง?
วิชาที่สอบจะแบ่งเป็นสี่หมวดครับ
หมวดที่ 1 จรรยาบรรณ
การเตรียมตัวสอบง่ายมากคือให้อ่านกรณีศึกษาเข้าไปเหมือนอ่านนิยาย ข้อสอบก็ออกประมาณนั้นแหละ อีกเทคนิคนึงคือให้ตอบคำถามตรงข้ามกับที่เราทำอยู่ 5555
หมวดที่ 2 ความรู้พื้นฐาน
ถ้าสอบ level 1 ข้อสอบจะเน้นหมวดนี้เป็นพิเศษครับ เนื้อหาเยอะ แต่ก็เป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการลงทุนวิชาที่สอบก็ประกอบด้วย
1 คณิตศาสตร์ คำนวณผลตอบแทน ความน่าจะเป็น และสถิติ มี regression นิดหน่อย เทคนิคก็ต้องหัดกดเครื่องคิดเลขให้ชินและไวครับ
2 เศรษฐศาสตร์ เนื้อหามีทั้งเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค แต่ผมจบเศรษฐศาสตร์มาก็เลยชิวๆครับ
3 บัญชี บัญชีก็เหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ของบริษัทนั้นๆครับ เคยผ่านอะไรมาก็จะอยู่ในงบการเงินนั้นเอง วิชานี้เครื่องมือหากินเลยโดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ต้องวิเคราะห์งบการเงินให้ออกเพราะเป็นภาษาของธุรกิจครับ
4 การเงิน ถ้าเปรีบบัญชีเหมือนบันทึกประวัิติศาสตร์ วิชาการเงินก็เหมือนการมองไปข้างหน้าครับ
4.1 จะเกิดอะไรขึ้นถ้า? ในการประเมินมูลค่าหุ้นหัวใจอยู่ีที่คำถามนี้ครับ คนที่เก่งๆเขาจะมองภาพนี้ออกครับ สมมติเจอหุ้นตัวนึงที่กำลังปรับโครงสร้างหนี้ เขาจะถามเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า?บริษัทนี้ปรับโครงสร้างหนี้ได้ หนี้หายไปครึ่งนึง และกลับมาจ่ายปันผลได้
4.2 มูลค่าของกิจการจะเป็นเท่าไร เรื่องนี้ไม่ยากแค่เอาตัวเลขมาใส่สูตรก็จบ
หมวดที่ 3 การประเมินมูลค่า
เนื้อหาหมวดนี้จะเน้นใน level 2 ครับ เนื้อหาก็มี 4 วิชาคือ
1 การประเมินมูลค่าตราสารหนี้ เวลาอ่านให้จิตนาการว่าเราเป็นเจ้าหนี้ครับและจะมันส์ในการอ่านมาก
2 การประเมินมูลค่าตราสารทุน เวลาอ่านให้จิตนาการว่าเราเป็นเจ้าของกิจการครับ ใน level 1 สูตรหลักๆก็ DDM คิดลดเงินปันผล แค่นั้นแหละพลิกไปพลิกมา
3 การประเมินมูลค่าตราสารอนุพันธ์ เวลาอ่านให้จิตนาการว่าเราเป็นเจ้ามือบ่อนครับ แล้วจะเห็นจุดเชื่อมโยงของแต่ละเรื่อง
4 การประเมินมูลค่าการลงทุนทางเลือก เหมือนการรวมตราสารทั้งสามตัวเข้าด้วยกัน เป็นสารพัดการลงทุนประหลาดๆ ทำสุดท้ายก็ได้เงินเหมือนกัน
หมวดที่ 4 การบริหารพอร์ทลงทุน
เป็นการประเมินว่าเราควรลงทุนหลักทรัพย์แต่ละตัวด้วยสัดส่วนเท่าไร ที่จะตอบสนองความต้องการของเราได้
จากเนื้อหาผมว่าถือว่าครบครันสำหรับการลงทุนครับ แต่ความยากจริงคือจะเอาทั้ง 10 วิชามาผสมกันเป็นหลักการลงทุนของเราได้อย่างไร
หลักสูตรสอนเล่นหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานสไตร์ VI สอนหุ้นกลุ่มเล็ก ตอบทุกปัญหาการลงทุน
เจาะลึกหุ้นอย่างเซียนเห็นผล 100% สไตร์ อ.ภัทรธร
**สอบถามรายละเอียดและตารางอบรมที่ (รับจำนวนจำกัด)
**ดูรายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK
วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สอบ CFA, CISA ไม่ยากถ้ารู้จักเตรียมตัว
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สอนลงเก็งกำไรค่าเงินเบื้องต้น
ใครชอบเทรดรายวันต้องขอแนะนำตลาดฟิวเจอร์สค่าเงิน(ซื้อขายล่วงหน้า) ที่ที่เรียนกันว่า forex รับรองมันส์สะใจ สมัยก่อนตลาดนี้ไม่เปิดให้คนทั่วไปเทรดคนที่เทรดจะเป็นธนาคาร ใครชวนไปเทรดให้รู้ไว้เลยว่า"เถื่อน" จากข่าว "ดีเดย์เมษาเทรดฟิวเจอร์สค่าเงิน เล็งเปิดให้บุคคลธรรมดาซื้อขายได้"(ผู็จัดการ) คนทั่วไปเริ่มมีหวังแล้วครับ
ความมันส์ของตลาดนี้คือซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง ตอนเช้าเทรดตลาดญี่ปุน บ่าย 2 เทรดตลาดลอนดอน ตอนค่ำเทรดตลาดอเมริกา พอตลาดเมกาปิดก็มาเทรดตลาดญี่ปุ่นต่อไม่ต้องหลับต้องนอน เทรดใช้เงินนิดเดียวใด้เสียเป็นเท่าตัวและก็หมดเนื้อหมดตัวได้ในวันเดียวได้เช่นเดียวกัน หุหุ ตลาด forex ใหญ่มากครับวันนึงเทรดกันมหาศาล ดูในรูปที่เปรียบเทียบขนาดตลาด
คนในตลาดมีสองจำพวกครับพวกแรกคือ Hedger หรือผู้ป้องกันความเสี่ยง มีประมาณ 10%ของการซื้อขาย สมมติเขานำเข้าสินค้าจากเมกาชิ้นละ 1 ดอลล่าห์ (สมมติวันที่ตกลงซื้ออัตราและเปลี่ยนอยู่ที่ 31 บาทต่อ 1 ดอลล่าห์) เอามาขายในไทย 40 บาท ได้กำไร 9 บาท แต่สมมติีอีกว่าวันที่จ่ายเงินค่าของที่นำเข้ามาอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 36 บาทแทนที่จะได้กำไร 9 ก็เหลือเพียง 4 บาทหักต้นทุนนู่นนี่นั่นแล้วขาดทุนกระจาย เขาเลยป้องกันความเสี่ยงโดยการโทรไปหาธนาคารตอนวันที่ตกลงซื้อจากเมกา บอกว่าขอซื้อดอลล่าล่วงหน้าที่ 31 บาท พอถึงวันส่งมอบของชำระเงินจริงผู้นำเข้าก็ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาท ควบคุมต้นทุนได้
อีกพวกหนึ่งคือ speculator หรือนักเกร็งกำไร มีประมาณ 90% ของการซื้อขาย พวกนี้เขาไม่ได้นำเข้าส่งออกสินค้าอะไรทั้งสิ้น มีเงินมาดูกราฟแล้วก็ซื้อๆขายๆ ได้เงินก็ดีใจ เสียเงินก็หดหู่ พวกนี้วันๆไม่ทำอะไรครับลุ้นกันตัวเกร็งทั้งวัน เหมือนเข้าบ่อนเล่นไฮโลยังไงก็ไม่รู้ เหมาะกับพวกเล่น day trade มากครับ
ปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินที่ต้องรู้มีอะไรบ้าง สรุปมาจากการบรรยายของ k-bank ครับ
* ค่าเงินจะขึ้นกับสภาพเศษฐกิจ ทุกวันศุกร์ประมาณ 1 ทุ่ม เมกาก็จะประการตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ ยอดขายปลีก ฯลฯ ตัวเลขไม่ดีค่าเงิน USD ก็อ่อน ตัวเลขดีค่าเงิน USD ก็แข็ง เขาเทรดกันแค่นี้แหละไม่ต้องคิดมาก
* สงคราม เวลาเมกาสำแดงเดชไปถล่มประเทศนู้นี้นั้น ก็ต้องใช้เงินเยอะ ค่าเงิน USD ก็อ่อน
* น้ำมัน ทอง หุ้น อยู่ตรงข้ามกับ USD วันไหนทองราคาขึ้น USD ก็อ่อน
* ค่าเงินประเทศอื่น ยูโร หยวน บาท อยู่ตรงข้ามกับ USD (หยวน กับ บาท วิ่งทางเดียวกัน)
* ตอนนี้ เมกากลัวจีนมากเพราะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ จะบีบก็ตายจะคลากก็รอด
* ตอนต้นปี 54 ทุกคนคิดว่า USD พังแน่ค่าเงินต้องอ่อน แต่ปลายปี euro เจ้งซะงั้น คนก็เลยแห่กันมาซื้อ USD ทำให้เงินแข็งซะงั้น คาดการณ์ผิดหมด 555 ตอนนี้ค่าเงินก็เลยผันผวนทั่วโลก เพราะเมกาก็ยังเศรษฐกิจไม่ดีมาเท่าไร
trick
* ทองจะขึ้นช่วง มีนา-เมษา
เหตุผล : ญี่ปุ่นเป็นผู้ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำรายใหญ่ของโลก ช่วง มีนา-เมษา ทั่วโลกแห่กันมาใช้หนี้ ญี่ปุ่น รวมถึ่งเงินปันผลจากบริษัทลูกๆของญี่ปุ่นที่กระจายทั่วโลก เข้ามาช่วงนี้ คนก็แห่กันขาย USD ซื้อ YEN พอ USD อ่อนทองก็ขึ้น
* ช่วงบ่ายสอง ราคาจะสวิงกิ้งมากเพราะตลาดลอนดอนเปิด
ความมันส์ของตลาดนี้คือซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง ตอนเช้าเทรดตลาดญี่ปุน บ่าย 2 เทรดตลาดลอนดอน ตอนค่ำเทรดตลาดอเมริกา พอตลาดเมกาปิดก็มาเทรดตลาดญี่ปุ่นต่อไม่ต้องหลับต้องนอน เทรดใช้เงินนิดเดียวใด้เสียเป็นเท่าตัวและก็หมดเนื้อหมดตัวได้ในวันเดียวได้เช่นเดียวกัน หุหุ ตลาด forex ใหญ่มากครับวันนึงเทรดกันมหาศาล ดูในรูปที่เปรียบเทียบขนาดตลาด
คนในตลาดมีสองจำพวกครับพวกแรกคือ Hedger หรือผู้ป้องกันความเสี่ยง มีประมาณ 10%ของการซื้อขาย สมมติเขานำเข้าสินค้าจากเมกาชิ้นละ 1 ดอลล่าห์ (สมมติวันที่ตกลงซื้ออัตราและเปลี่ยนอยู่ที่ 31 บาทต่อ 1 ดอลล่าห์) เอามาขายในไทย 40 บาท ได้กำไร 9 บาท แต่สมมติีอีกว่าวันที่จ่ายเงินค่าของที่นำเข้ามาอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 36 บาทแทนที่จะได้กำไร 9 ก็เหลือเพียง 4 บาทหักต้นทุนนู่นนี่นั่นแล้วขาดทุนกระจาย เขาเลยป้องกันความเสี่ยงโดยการโทรไปหาธนาคารตอนวันที่ตกลงซื้อจากเมกา บอกว่าขอซื้อดอลล่าล่วงหน้าที่ 31 บาท พอถึงวันส่งมอบของชำระเงินจริงผู้นำเข้าก็ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาท ควบคุมต้นทุนได้
อีกพวกหนึ่งคือ speculator หรือนักเกร็งกำไร มีประมาณ 90% ของการซื้อขาย พวกนี้เขาไม่ได้นำเข้าส่งออกสินค้าอะไรทั้งสิ้น มีเงินมาดูกราฟแล้วก็ซื้อๆขายๆ ได้เงินก็ดีใจ เสียเงินก็หดหู่ พวกนี้วันๆไม่ทำอะไรครับลุ้นกันตัวเกร็งทั้งวัน เหมือนเข้าบ่อนเล่นไฮโลยังไงก็ไม่รู้ เหมาะกับพวกเล่น day trade มากครับ
ปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินที่ต้องรู้มีอะไรบ้าง สรุปมาจากการบรรยายของ k-bank ครับ
* ค่าเงินจะขึ้นกับสภาพเศษฐกิจ ทุกวันศุกร์ประมาณ 1 ทุ่ม เมกาก็จะประการตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ ยอดขายปลีก ฯลฯ ตัวเลขไม่ดีค่าเงิน USD ก็อ่อน ตัวเลขดีค่าเงิน USD ก็แข็ง เขาเทรดกันแค่นี้แหละไม่ต้องคิดมาก
* สงคราม เวลาเมกาสำแดงเดชไปถล่มประเทศนู้นี้นั้น ก็ต้องใช้เงินเยอะ ค่าเงิน USD ก็อ่อน
* น้ำมัน ทอง หุ้น อยู่ตรงข้ามกับ USD วันไหนทองราคาขึ้น USD ก็อ่อน
* ค่าเงินประเทศอื่น ยูโร หยวน บาท อยู่ตรงข้ามกับ USD (หยวน กับ บาท วิ่งทางเดียวกัน)
* ตอนนี้ เมกากลัวจีนมากเพราะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ จะบีบก็ตายจะคลากก็รอด
* ตอนต้นปี 54 ทุกคนคิดว่า USD พังแน่ค่าเงินต้องอ่อน แต่ปลายปี euro เจ้งซะงั้น คนก็เลยแห่กันมาซื้อ USD ทำให้เงินแข็งซะงั้น คาดการณ์ผิดหมด 555 ตอนนี้ค่าเงินก็เลยผันผวนทั่วโลก เพราะเมกาก็ยังเศรษฐกิจไม่ดีมาเท่าไร
trick
* ทองจะขึ้นช่วง มีนา-เมษา
เหตุผล : ญี่ปุ่นเป็นผู้ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำรายใหญ่ของโลก ช่วง มีนา-เมษา ทั่วโลกแห่กันมาใช้หนี้ ญี่ปุ่น รวมถึ่งเงินปันผลจากบริษัทลูกๆของญี่ปุ่นที่กระจายทั่วโลก เข้ามาช่วงนี้ คนก็แห่กันขาย USD ซื้อ YEN พอ USD อ่อนทองก็ขึ้น
* ช่วงบ่ายสอง ราคาจะสวิงกิ้งมากเพราะตลาดลอนดอนเปิด
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554
กลยุทธ์การแข่งขันของ firefox
ในโลกของนักลงทุน ในหัวต้องคิดแต่เรื่อง ผลตอบแทน(Return)และความเสี่ยง(Risk) และงานประจำวันคือคอยตรวจสุขภาพของกิจการที่ลงทุนไปว่ายังมีความสามารถในการแข่งขันเหมือนเดิมหรือเปล่า มีปัจจัยความเสี่ยงอะไรมาทำให้เครื่องจักรผลิตเงินของเราไม่สามารถทำงานได้ตามปกติหรือไม่ สำหรับการลงทุนในหุ้นก็ต้องคอยตรวจว่ากลยุทธ์ระดับองค์กรจะไปทิศทางไหน สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่
สำหรับการแข่งขันในธุรกิจ.com คำกล่าวโบราณที่ว่า"เงินไม่มีขา ต้องให้คนพามา"ก็ยังใช้ได้อยู่ ถ้าดึงให้คนมาใช้บริการได้เยอะๆก็ขายโฆษณาได้เยอะ ธุรกิจ "เว็ปเบราว์เซอร์" ก็เหมือนกันเพราะสมัยนี้ทำงานทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ตเบราว์เซอร์ก็เป็นเหมือนประตูในการท่องโลกออนไลน์ ทุกครั้งที่เปิดคอมโปรแกรมแรกที่เปิดคือเว็ปเบราว์เซอร์ ดังนั้นถ้าใครสามารถให้คนค้นเน็ตทั่วโลกเป็นล้านๆคนท่องเน็ตผ่านเบราว์เซอร์ตัวเองได้เงินมันก็จะเข้ามา ในปีที่ผ่านมา Mozilla เจ้าของเบราว์เซอร์ firefox สามารถหาเงินได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์จากการเซ้นสัญญาของ กูเกิลว่าจะเอา tool การค้นหาของตัวเองมาใส่ในเบราว์เซอร์[1]
ยุคก่อนที่ firefox จะเข้ามาเจ้าตลาดเว็ปเบราว์เซอร์ก็คือ เล็กนุ่ม(Microsoft) กลยุทธ์ง่ายมากในการเอาชนะ Netscapt ที่เป็นคู่แข่งที่ครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 90% โดยเอา Internet explorer ไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของ OS ซะ เล่นซะ Netscapt หงายท้องไปไม่เป็นเลยทีเีดียวต้องขายกิจการให้ AOL และ AOL ก็ประกาศยุติการพัฒนาในปี 51 [2]
หลังจาก IE ครองตลาดได้ซักพัก ก็มีคู่แข่งใหม่เข้ามาท้าทายคือ Mozilla ได้พัฒนาเบราว์เซอร์ firefox ด้วยกลยุทธ์ความแตกต่างด้วยความ เร็วกว่า มีฟีเจอร์เยอะกว่า และที่สำคัญฟรี ทำให้สามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดจาก IE ไปได้เยอะครับ
David Ascher ผู้บริหารของ Mozilla บอกว่า [3] เป้าหมายของ Mozilla คือดึงศักยภาพของเว็บออกมาให้เต็มที่ (จากที่เคยถูก IE6 กดเอาไว้) โดยสร้างเบราว์เซอร์ที่ทำงานได้รวดเร็ว มีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ และมีฐานผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผลที่ได้ (หมายถึงการออก Firefox) ออกมาค่อนข้างดี นั่นคือเบราว์เซอร์พัฒนาไปเยอะมาก มาตรฐานเว็บก็พัฒนาตาม และเว็บไซต์เองก็น่าสนใจกว่าเดิม
ปัจจุบัน เทคโนโลยีเปลี่ยนไป web service ใหม่ๆ ก็เข้ามามากขึ้น มีคู่แข่งรายใหม่ก็เข้ามาและรายเก่าก็ปรับตัวไม่ยอมแพ้เช่นกันเช่น chrome ของ google ,IE9 ของ micro soft, กลยุทธ์ที่ firefox ใช้ในการแข่งขันก็ต้องปรับตัวจะใช้ business model แบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป David Ascher ผู้บริหารของ Mozilla บอกว่า [3] ตอนนี้เบราว์เซอร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวของชี วิตออนไลน์อีกแล้ว เพราะมีประเด็นใหม่อีก 3 ประเด็นที่ปรากฏขึ้นมา และ Mozilla ควรจะให้ความสนใจกับมัน
ประเด็นทั้งสามได้แก่
นี่แหละครับสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาธุรกิจต้องปรับตัวตลอดเวลา ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็ตาย
ที่มา
[1]Blognone.com,"เผยตัวเลขสัญญากูเกิลจ่าย Mozilla ตกปีละ 300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 เท่า"
[2]Blognone.com,"ลาก่อน Netscape Navigator"
[3]Blognone.com,"Mozilla บอกสงครามเบราว์เซอร์จบแล้ว เผย 3 ยุทธศาสตร์ใหม่"
[4]Blognone.com,"วิศวกร Chrome บอก Firefox เป็นเพื่อน ไม่ใช่คู่แข่ง"
สำหรับการแข่งขันในธุรกิจ.com คำกล่าวโบราณที่ว่า"เงินไม่มีขา ต้องให้คนพามา"ก็ยังใช้ได้อยู่ ถ้าดึงให้คนมาใช้บริการได้เยอะๆก็ขายโฆษณาได้เยอะ ธุรกิจ "เว็ปเบราว์เซอร์" ก็เหมือนกันเพราะสมัยนี้ทำงานทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ตเบราว์เซอร์ก็เป็นเหมือนประตูในการท่องโลกออนไลน์ ทุกครั้งที่เปิดคอมโปรแกรมแรกที่เปิดคือเว็ปเบราว์เซอร์ ดังนั้นถ้าใครสามารถให้คนค้นเน็ตทั่วโลกเป็นล้านๆคนท่องเน็ตผ่านเบราว์เซอร์ตัวเองได้เงินมันก็จะเข้ามา ในปีที่ผ่านมา Mozilla เจ้าของเบราว์เซอร์ firefox สามารถหาเงินได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์จากการเซ้นสัญญาของ กูเกิลว่าจะเอา tool การค้นหาของตัวเองมาใส่ในเบราว์เซอร์[1]
ยุคก่อนที่ firefox จะเข้ามาเจ้าตลาดเว็ปเบราว์เซอร์ก็คือ เล็กนุ่ม(Microsoft) กลยุทธ์ง่ายมากในการเอาชนะ Netscapt ที่เป็นคู่แข่งที่ครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 90% โดยเอา Internet explorer ไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของ OS ซะ เล่นซะ Netscapt หงายท้องไปไม่เป็นเลยทีเีดียวต้องขายกิจการให้ AOL และ AOL ก็ประกาศยุติการพัฒนาในปี 51 [2]
หลังจาก IE ครองตลาดได้ซักพัก ก็มีคู่แข่งใหม่เข้ามาท้าทายคือ Mozilla ได้พัฒนาเบราว์เซอร์ firefox ด้วยกลยุทธ์ความแตกต่างด้วยความ เร็วกว่า มีฟีเจอร์เยอะกว่า และที่สำคัญฟรี ทำให้สามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดจาก IE ไปได้เยอะครับ
David Ascher ผู้บริหารของ Mozilla บอกว่า [3] เป้าหมายของ Mozilla คือดึงศักยภาพของเว็บออกมาให้เต็มที่ (จากที่เคยถูก IE6 กดเอาไว้) โดยสร้างเบราว์เซอร์ที่ทำงานได้รวดเร็ว มีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ และมีฐานผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผลที่ได้ (หมายถึงการออก Firefox) ออกมาค่อนข้างดี นั่นคือเบราว์เซอร์พัฒนาไปเยอะมาก มาตรฐานเว็บก็พัฒนาตาม และเว็บไซต์เองก็น่าสนใจกว่าเดิม
ปัจจุบัน เทคโนโลยีเปลี่ยนไป web service ใหม่ๆ ก็เข้ามามากขึ้น มีคู่แข่งรายใหม่ก็เข้ามาและรายเก่าก็ปรับตัวไม่ยอมแพ้เช่นกันเช่น chrome ของ google ,IE9 ของ micro soft, กลยุทธ์ที่ firefox ใช้ในการแข่งขันก็ต้องปรับตัวจะใช้ business model แบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป David Ascher ผู้บริหารของ Mozilla บอกว่า [3] ตอนนี้เบราว์เซอร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวของชี วิตออนไลน์อีกแล้ว เพราะมีประเด็นใหม่อีก 3 ประเด็นที่ปรากฏขึ้นมา และ Mozilla ควรจะให้ความสนใจกับมัน
ประเด็นทั้งสามได้แก่
- การทำงานระดับต่ำกว่าเบราว์เซอร์ โดย Mozilla กำลังทดลองผ่านโครงการ Boot to Gecko เป้าหมายของมันคือสร้างประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมือนๆ กันในทุกที่ โดยเฉพาะบนมือถือที่มีความแตกต่างกันสูงมาก
- อัตลักษณ์ของผู้ใช้ (user identity) เมื่ออินเทอร์เน็ตมีความซับซ้อนขึ้น และผู้ใช้ต้องแสดงตัวเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มากขึ้น การบริหารจัดการอัตลักษณ์ก็มีความสำคัญเยอะขึ้น แต่ระบบล็อกอินอย่าง Facebook Connect กลับยังไม่ตอบโจทย์ในบางเรื่อง ตอนนี้ Mozilla เลยกำลังทดลองโครงการ BrowserID ซึ่งเป็น "ระบบ" สำหรับการล็อกอินที่ทำงานได้ข้ามเว็บไซต์ ล็อกอินได้จากตัวเบราว์เซอร์เลย และมีผู้ยืนยันตัวตนได้หลายราย โครงการนี้จะทำงานได้กับเบราว์เซอร์ทุกตัว ไม่ใช่แค่ Firefox เท่านั้น
- แอพ ที่หมายถึงแอพทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแอพมือถือหรือเว็บแอพ โดย Mozilla ทดลองผ่านโครงการ Apps initiative ซึ่งแบ่งงานออกเป็นสองส่วน ได้แก่การนำเทคโนโลยีเว็บมาสร้างแอพที่ทำงานได้ทุกที่ และสร้างมาตรฐานกลางของการขายและติดตั้งแอพของร้านขายแอพต่างๆ
นี่แหละครับสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาธุรกิจต้องปรับตัวตลอดเวลา ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็ตาย
ที่มา
[1]Blognone.com,"เผยตัวเลขสัญญากูเกิลจ่าย Mozilla ตกปีละ 300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 เท่า"
[2]Blognone.com,"ลาก่อน Netscape Navigator"
[3]Blognone.com,"Mozilla บอกสงครามเบราว์เซอร์จบแล้ว เผย 3 ยุทธศาสตร์ใหม่"
[4]Blognone.com,"วิศวกร Chrome บอก Firefox เป็นเพื่อน ไม่ใช่คู่แข่ง"
วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ข้อผิดพลาดสำคัญของนักลงทุนมือใหม่
"ใครเขาคิดว่าเราเป็นอย่างไร
เราก็เป็นอย่างนั้นในความคิดของเขา
ในความเป็นจริง เราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่การกระทำของเราเอง
ในมุมกลับกัน เราคิดว่าเขาเป็นอย่างไร
เขาก็เป็นอย่างนั้นในความคิดของเรา
ในความเป็นจริง เขาจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่การกระทำของเขาเอง
ดังนั้นอย่ายัดเยียดให้ใครเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพียงแค่เราคิดไปเอง
และไม่ต้องเดือนร้อนใจกับที่ใครเขาคิดไปเองว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะความจริงก็คือความจริง
หากเราอยู่กับความเป็นจริงจะไม่ทุกข์ร้อนใจ
เช่นเดียวกับจิตที่อยู่กับความเป็นจริงของ "ไตรลักษณ์"
จะไม่ทุกข์ร้อนแม้ต้องเจอสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม^_^"
Surawat Sereewiwattana
บทความที่ยกมาข้างต้นสะท้อนถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดของนักลงทุนมือใหม่(มือเก่าก็ด้วย) ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนที่มากที่สุดคือ "อคติ" ซึ่งการวิเคราะห์ด้วยอคติ แต่เราจะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่เราอยากให้เป็น เช่น มีเซียนหุ้นแนะนำว่าหุ้นตัวนี้ดีเวลาเรามาวิเคราห์เองก็จะพยายามมองหาแต่แง่ดีของหุ้นตัวนั้น มีตัวเลขดีสนับสนุนไปหมด ข้อมูลอะไรที่ไม่ดีถึงเห็นก็หลิ่วตาไว้ข้างหนึ่งแกล้งทำเป็นไม่เห็น
เมื่อไม่ได้มองหุ้นตามความเป็นจริงว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เข้ามา ไม่ใช่ตามที่เราคิด สมมติฐานต่างๆที่เราคิดไว้ก็ไม่เป็นความจริง ราคาที่เหมาะสมที่คำนวญมาก้ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เหมือนเราใส่ ขยะ เข้าไปเป็น input พอคำนวณ output ออกมาก็เป็นขยะเช่นกัน ใช้ขยะในการตัดสินใจสุดท้ายก็.....
Garbage In, Garbage Out |
ในการกำจัดอคติออกจากการวิเคราะห์หุ้น ตามตำราวิชาการก็จะดึงตัวเราออกมาจากการวิเคราห์ทำตัวเป็นเพียงแค่ผู้รู้ผู้ดู ทั่วไปก็จะใช้เครื่องมือทางสถิติเข้ามาประมาณค่าเช่นการใช้ค่าเฉลี่ย ,การพยากร, เพราะเชื่อว่าค่าที่ออกมามาจากพฤติกรรมของข้อมูลในอดีตก็มีโอกาสที่จะเป็นเหมือนเดิมอีกในอนาคต ลองดูตัวอย่าง การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยการใช้ forward PE ซึ่งเป็นการประเมิณมูลค่าหุ้นด้วยวิธีง่ายๆ
1. ขั้นแรกก็ต้องเดากำไรสุทธิในปีหน้าก่อน เริ่มต้นด้วยการเดาการเติบโตของยอดขาย สมมติว่าบริษัทมียอดขายปีนี้เท่ากับ 100 ล้าน ใช้หลักสถิติก็ย้อนไปดูปีก่อนๆว่ากำไรโตปีละ 20% ทุกปีติดต่อกันมา10ปี เดาว่าปีหน้าก็คงโต 20% เหมือนกัน
ขั้นต่อมาก็ประมาณการต้นทุน ก็สังเกตุอีกว่าต้นทุนขายปีนี้เท่ากับ 50 ล้านบาทและโตในอัตราเดียวกับยอดขาย ก็เดาอีกว่าปีนี้ก็คงเหมือนเดิมโต 20% เหมือนกับยอดขาย
ส่วนต้นทุนที่เหลือก็เท่าเดิมที่20ล้านมา 10 ปีแระก็ให้เป็นค่าคงที่ไป
สรุปว่ากำไรปีหน้าเท่ากับ
กำไรปีหน้า = ยอดขายปีหน้า-ต้นทุนขายปีหน้า-ต้นทุนคงที่
120-60-20 = 40ล้าน ..........เย้
2. ค่า PE ที่เหมาสมของอุตสาหกรรมคือ 10 เท่า
ดังนั้นราคาที่เหมาะสมคือ 40*10= 400 ล้านบาท (ทั้งบริษัทมีหุ้นเดียว)
3 ราคาตลาดของหุ้นตัวนี้อยู่ที่ 200 ล้านบาท ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมที่ 400 ล้านบาทมาก เห็นดังนี้ก็รีบขายบ้า้้นขายรถมาซื้อ
ดูผ่านๆไปก็เหมือนดูดี ทุกอย่างไม่มีความคิดเราเข้ามาเกี่ยวข้องใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ซึ่งไม่เคยโกหกใครอย่างเดียว แต่นี่ก็เป็นอคติอย่างหนึ่งคือมีอคติว่ามันไม่มีอคติ ในตัวอย่างเราบอกว่ายอดขายปีหน้าจะโต 20% ก็ต้องถามกลับว่าเหตุมันเหมือนเดิมหรือเปล่า เมื่อเหตเปลี่ยน ผลก็เปลี่ยน ยกตัวอย่างบริษัท CEI ทำพัดลมติดเพดานยอดขายโตทุกปีวันดีคืนดีลูกค้ารายใหญ่หนีไปสั่งผลิดที่จีนยอดขายหายไป 90% แล้วไม่กลับมาอีกเลย สถิติทุกอย่างที่หามาใช้ไม่ได้ในวันเดียว จนบัดนี้(พ.ศ.2554)ก็ัยังตอบไม่ได้ว่าเลิกผลิตพัดลมแล้วจะทำอะไรให้บริษัทมีกำไร ตอนนี้ก็ขายของเก่ากินไปเรื่อยๆ
สรุปว่า จะวิเคราะห์หุ้นก็ต้องมองหุ้นตามความเป็นจริง เห็นอย่างที่มันเป็น ก็คือไตรลักษ์คือทุกสิ่งมีเหตุก็เกิดหมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้ แล้วอยู่กับหุ้นอย่างมีความสุขครับ
วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554
กระบวนการทำงานของทุนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับการทำงานของทุนในธุรกิจทั่วๆไปก็เป็นตามรูปที่เคยเสนอไปแล้ว ก็คือเอาเงินลงทุนไปซื้อสินทรัพย์ไปสร้างยอดขายหักรายจ่ายก็ได้กำไรส่วนหนึ่งออกมาเป็นเงินปันผล ถ้าไปนั่งบริหารกิจการด้วยสินเดือนก็ได้เงินเดือน
กลไกการทำงานของทุน |
กลไกการทำงานของทุนในตลาดหลักทรัพย์ |
ต่อไปมาดูที่ส่วนบนก็คือการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากจำนวนหุ้นมีจำกัดการซื้อหรือขายหุ้นก็เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีคนที่นั่งอยู่ก็มีสิทธ์ได้ัรับเงินปันผลคนที่ไม่ได้นั่งก็ได้แต่มอง ถ้าอยากนั่งเก้าอี้ก็ต้องไปเจรจากับคนที่นั่งอยู่ถ้าเขายอมขายเราก็จ่ายเงินและไปนั่งแทน ราคาที่ตกลงกันก็เรียกว่าราคาตลาด (Market price) ถ้ากิจการเติบโตเรื่อยๆปันผลก็โตขึ้นเรื่อยๆ คนที่นั่งอยู่ก็คงไม่ขายราคาเดิมแน่นอนต้องขายในราคที่สูงขึ้นราคาหุ้นก็ขึ้น แต่ถ้ากิจการเลวร้ายผลประกอบการตกต่ำคนที่นั่งอยู่ถ้าขายราคาเดิมก็ขายไม่ออกก็ต้องลดราคาลงราคาหุ้นก็ตก ส่วนต่างระหว่างการเข้ามานั่งกับตอนที่ออกไปก็คือ capital gain /loss
ดังนั้นสรุปได้ว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนอยู่สองอย่างก็คือ เงินปันผล และ capital gain/loss ตามตำราท่านว่าผลตอบแทนทั้งสองอย่างนี้ในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของกิจการที่คุณลงทุนไป ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานมีความจำเป็นมากสำหรับการลงทุนในหุ้น
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554
กระบวนการทำงานของทุน
"ให้เงินทำงาน"เป็นประโยคเด็ดที่ใช้ในการบอกให้คนเห็นคุณค่าของการลงทุนและอยากที่จะออมเงินเพื่อวันข้างหน้า ซึ่งกลไกการทำงานของเงินไม่เหมือนตราสารทางการเงินอื่นๆเช่นตราสารหนี้ที่เข้าใจง่ายหน่อยคือเราเป็นเจ้าหนี้ก็ปล่อยเงินกู้ไปนั่งๆนอนๆสิ้นเดือนก็พาลูกน้องไปเก็บดอก แต่การลงทุนในหุ้นหรือการเป็นเจ้าของธุรกิจธรรมชาติของเค้าคือการทำธุรกิจ มาดูก้นว่าในเชิงธุรกิจเงินเขาทำงานอย่างไร
ในทางธุรกิจเงินจะหมุนไปหมุนมาตอนเย็นก็มีเงินงอกออกมาให้กินทุกวัน ยกตัวอย่างเปินร้านกาแฟแล้วกันเห็นคนชอบกันเยอะ
1 เริ่มต้นมีเงินทุนอยู่่ก้อนนึงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเงินที่เก็บออมมาจากการทำงานเกือบทั้งชีวิต ถ้าไม่พอก็กู้มาเพิ่ม รวมกันก็มาเป็นส่วนของทุน ภาษาการเงินจะเรียกส่วนของ หนี้สิน รวมกับ ส่วนของเจ้าของว่า แหล่งที่มาของเงินทุน(Source of fund)
2 ต่อมาก็เอาเงินไปซื้อสินทรัพย์(Asset) ภาษาการเงินจะเรียนสินทรัพย์ว่าแหล่งที่ใช้ไปของเงินทุน(Used of Fund) ถ้าจะเปิดร้านกาแฟก็หมดเงินไปกับการแต่งร้าน ซื้อเครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟ นม น้ำแข็ง
3 พอของครบก็เปิดร้านได้แล้วมีคนมาซื้อลูกค้าได้สินทรัพย์ของเราไป(กาแฟ) เขาก็ให้เงินมาแลกเปลี่ยนเงินส่วนนี้เรียกว่ายอดขาย เงินมาก็เอาไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับปัจจัยการผลิตที่เราไปยืมเขามา คนงานก็จ่ายค่าแรง เจ้าของที่ก็จ่ายค่าเช่า ฯลฯ
4 เหลือสุดท้ายออกมาเป็นกำไร เงินที่เราลงไปส่วนหนึ่งเป็นกำไรสะสมเก็บไว้ลงทุนต่อ(ไปที่ข้อ 1) อีกส่วนออกมาเป็นเงินปันผลให้กินได้ใช้ เย้ ถ้ากิจการไปได้เรื่อยๆก็เหมือนเป็นเครื่องจักรเงินสดให้เราได้กินตลอดไปยันลูกหลาน
กระบวนการทำงานของทุน |
1 เริ่มต้นมีเงินทุนอยู่่ก้อนนึงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเงินที่เก็บออมมาจากการทำงานเกือบทั้งชีวิต ถ้าไม่พอก็กู้มาเพิ่ม รวมกันก็มาเป็นส่วนของทุน ภาษาการเงินจะเรียกส่วนของ หนี้สิน รวมกับ ส่วนของเจ้าของว่า แหล่งที่มาของเงินทุน(Source of fund)
2 ต่อมาก็เอาเงินไปซื้อสินทรัพย์(Asset) ภาษาการเงินจะเรียนสินทรัพย์ว่าแหล่งที่ใช้ไปของเงินทุน(Used of Fund) ถ้าจะเปิดร้านกาแฟก็หมดเงินไปกับการแต่งร้าน ซื้อเครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟ นม น้ำแข็ง
3 พอของครบก็เปิดร้านได้แล้วมีคนมาซื้อลูกค้าได้สินทรัพย์ของเราไป(กาแฟ) เขาก็ให้เงินมาแลกเปลี่ยนเงินส่วนนี้เรียกว่ายอดขาย เงินมาก็เอาไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับปัจจัยการผลิตที่เราไปยืมเขามา คนงานก็จ่ายค่าแรง เจ้าของที่ก็จ่ายค่าเช่า ฯลฯ
4 เหลือสุดท้ายออกมาเป็นกำไร เงินที่เราลงไปส่วนหนึ่งเป็นกำไรสะสมเก็บไว้ลงทุนต่อ(ไปที่ข้อ 1) อีกส่วนออกมาเป็นเงินปันผลให้กินได้ใช้ เย้ ถ้ากิจการไปได้เรื่อยๆก็เหมือนเป็นเครื่องจักรเงินสดให้เราได้กินตลอดไปยันลูกหลาน
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554
จะลงทุนต้องรู้จักความเสี่ยง 1
ก่อนที่จะยอมรับความเสี่ยงก็ต้องรู้ก่อนว่าที่เราดิ้นรนจะทำธุรกิจเพราะอะไร
ในทางพระพุทธศาสนาจุดเริ่มต้นมาจากอวิชชาหรือความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4
(ทุกข์ สมุหทัย นิโรท มรรค) ทำให้เกิดตัวเราขึ้นมาร่างกายของเรา
จิตใจของเรา เมื่อเกิดตัวเราสิ่งที่กลัวที่สุดคือกลัวว่าตัวเราจะหายไป(ตาย)
ดังนั้นเมื่อมีอะไรมากระทบทำให้เกิดทุกข์ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ ใจก็จะดิ้นรนตามตัญหาอยากให้ทุกข์หายไป ตอนนี้ไม่มีความสุขก็อยากได้ความสุข พอมีความสุขก็ไม่อยากให้ความสุขหายไป
ที่มาลงทุนทำธรุกิจก็เพราะตอนนี้ไม่มีเงินเป็นทุกข์ ก็อยากอยากรวย จะได้มีเงินก็เอาไปซื้อของนู่น นี่
นั่นสนองความอยากได้ เหนื่อยแค่ไหนก็ยอม
การลงทุนทำธุรกิจ สิ่งที่เราอยากได้ก็คือ "ผลตอบแทน (return)" แต่สิ่งที่มาด้วยกันและหลีกหนีไม่ได้ก็คือ "ความเสี่ยง(risk)" ถ้าอยากได้ผลตอบแทนมากๆก็ต้องยอมรับความเสียงที่สูงขึ้นด้วย คำว่าความเสี่ยงในภาษาจีนประกอบด้วยคำสองคำคือ อัตราย+โอกาส สำหรับคนที่คิดจะลาออกจากงานมาเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ สิ่งที่เขาต้องแลกจากการลาออกจากงานประจำก็คือรายได้ประจำ จากที่ทำงานไปหลับไป แอบเล่น facebook อู้ไปวันๆ สิ้นเดือนก็ได้เงินเดือน แต่พอลาออกปุ้บเงินเดือนก็ไม่มี รายได้ก็ไม่แน่นอนยอดขายบางวันขายได้บางวันขายไม่ได้ ค่าใช้จ่ายวัตถุดิบขึ้นๆลง เรื่องคนก็บางทีลูกน้องทะเลาะกับแฟนมาไม่มีอารมณ์ทำงาน วันดีคืนดีมีร้านคู่แข่งมาเปิดขายของเหมือนกันแต่ดีกว่าและถูกกว่าเราก็ขายไม่ได้ แค่ยังไม่เริ่มความกลัวก็เกิดขึ้นแล้ว นอนไม่หลับ กังวล กลัวเจ้ง กลัวไม่มีรายได้ประจำ กลัวเหนื่อย ฯลฯ
คนบนโลกเมื่อเจอความทุกข์วิธีแก้ทุกข์ก็พยายามหนีทุกข์ แต่ในพระพุทธศาสนาเมื่อทุกข์เกิดขึ้นไม่สอนให้หนีทุกข์แต่ให้เข้าไปรู้ทุกข์ที่กำลังปรากฎ ศึกษาจนรู้ว่าเหตุคืออะไรและไปแก้ที่ต้นเหตุ ความเสี่ยงก็เหมือนกันก็ต้องเข้าไปเรียนรู้มันอย่างแจ่มแจ้ง แล้วจะอยู่กับความเสี่ยงได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องมานั่งกลุ้มกันอยู่
ความเสี่ยงคืออะไร
ความเสี่ยง(risk)ก็คือความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ หรืออะไรที่ไม่เป็นไปตามที่คาด ความเสี่ยงมีสองด้านทั้งบวก(ดีเกินคาด)และลบ(เลวร้ายกว่าที่คาด) ความเสี่ยงที่เราต้องเข้าไปจัดการคือความเสี่ยงด้านลบครับเพราะถ้าเกิดขึ้นนี้อาจทำให้ธุรกิจขาดทุนถึงขั้นปิดกิจการได้ ก็ต้องวางแผนเตรียมรับมือให้ดีๆ
ถ้ามองลึกๆเข้าไปอีกความเสี่ยงเป็นเรื่องธรรมชาติทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆไปตามกฎของไตรลักษณ์ก็คือ ทุกสิ่งมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ เมื่อเหตุเปลี่ยนผลก็เปลี่ยนเป็นปกติแต่มันเกิดปัญหาเพราะเราไม่รู้เหตุอย่างแท้จริงก็คาดการณ์อย่างนึง พอไม่เป็นไปตามคาดก็ไปโทษมันบอกว่าเป็นความเสี่ยง
การลงทุนทำธุรกิจ สิ่งที่เราอยากได้ก็คือ "ผลตอบแทน (return)" แต่สิ่งที่มาด้วยกันและหลีกหนีไม่ได้ก็คือ "ความเสี่ยง(risk)" ถ้าอยากได้ผลตอบแทนมากๆก็ต้องยอมรับความเสียงที่สูงขึ้นด้วย คำว่าความเสี่ยงในภาษาจีนประกอบด้วยคำสองคำคือ อัตราย+โอกาส สำหรับคนที่คิดจะลาออกจากงานมาเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ สิ่งที่เขาต้องแลกจากการลาออกจากงานประจำก็คือรายได้ประจำ จากที่ทำงานไปหลับไป แอบเล่น facebook อู้ไปวันๆ สิ้นเดือนก็ได้เงินเดือน แต่พอลาออกปุ้บเงินเดือนก็ไม่มี รายได้ก็ไม่แน่นอนยอดขายบางวันขายได้บางวันขายไม่ได้ ค่าใช้จ่ายวัตถุดิบขึ้นๆลง เรื่องคนก็บางทีลูกน้องทะเลาะกับแฟนมาไม่มีอารมณ์ทำงาน วันดีคืนดีมีร้านคู่แข่งมาเปิดขายของเหมือนกันแต่ดีกว่าและถูกกว่าเราก็ขายไม่ได้ แค่ยังไม่เริ่มความกลัวก็เกิดขึ้นแล้ว นอนไม่หลับ กังวล กลัวเจ้ง กลัวไม่มีรายได้ประจำ กลัวเหนื่อย ฯลฯ
ความเสี่ยง=อันตราย+โอกาส |
"ความวิตกกังวลล่วงหน้าไม่ได้ช
่วยอะไรเลย
นอกจากจะไม่เยียวยาความทุกข์ในวันหน้า
มันยังปล้นความสุขในวันนี้ไปอีกด้วย" ดังตฤณ
ความเสี่ยง(risk)ก็คือความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ หรืออะไรที่ไม่เป็นไปตามที่คาด ความเสี่ยงมีสองด้านทั้งบวก(ดีเกินคาด)และลบ(เลวร้ายกว่าที่คาด) ความเสี่ยงที่เราต้องเข้าไปจัดการคือความเสี่ยงด้านลบครับเพราะถ้าเกิดขึ้นนี้อาจทำให้ธุรกิจขาดทุนถึงขั้นปิดกิจการได้ ก็ต้องวางแผนเตรียมรับมือให้ดีๆ
ถ้ามองลึกๆเข้าไปอีกความเสี่ยงเป็นเรื่องธรรมชาติทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆไปตามกฎของไตรลักษณ์ก็คือ ทุกสิ่งมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ เมื่อเหตุเปลี่ยนผลก็เปลี่ยนเป็นปกติแต่มันเกิดปัญหาเพราะเราไม่รู้เหตุอย่างแท้จริงก็คาดการณ์อย่างนึง พอไม่เป็นไปตามคาดก็ไปโทษมันบอกว่าเป็นความเสี่ยง
วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ธรรมชาติของการลงทุนในตราสารทุน(หุ้น)
อยากเป็นนักลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นต้องรู้จักธรรมชาติของทุนในองค์กรครับว่าทุนอยู่ตรงไหนทำหน้าที่อะไรในองค์กรจะได้วางตัวถูก ในองค์กรองค์กรหนึ่งจะเป็นแหล่งรวมของคนที่เป็นเจ้าของทรัพยากรอยู่สี่ประเภทคือ ที่ดิน(Land) ทุน(Capital) แรงงาน(labor)
และผู้ประกอบการ(Entrepreneurship) ตามรูปธรรมชาติของเจ้าของทรัพยากรแต่ละชนิดก็จะมีวิธีคิดที่ต่างกันแต่อยู่ด้วยกันได้เพราะผลประโยชน์
เจ้าของที่ดิน(Land) คิดในหัวอย่างเดียวคือจะเก็บค่าเช่า
แรงงาน(labor) ทำงานก็ได้ค่าแรง ในหัวก็คือทำงานแล้วคุ้มค่าแรงไหม สิ้นเดือนไปเที่ยวไหนดี เงินเดือนออกแล้วไปผ่อนมือถือรุ่นไหนดี ไม่คุ้มก็ไปหาที่อื่น
นักลงทุน(Capital) ในหัวจะคิดอยู่สองอย่างคือผลตอบแทน(return) และความเสี่ยง(risk) สำหรับการลงทุนในหุ้นเงินของเราจะอยู่ในส่วนของเจ้าของผลตอบแทนที่ได้คือได้ส่วนแบ่งกำไรออกมาในรูปเงินปันผล(ถ้าบริษัทมีกำไร) แต่ในบริษัทมหาชนเจ้าของทุนมีจำนวนมากบางคนก็ถือไม่ถึง 1% จะได้บริหารทั้งหมดก็ไม่ได้ดั้งนั้นการบริหารก็จะผ่านคณะกรรมการบริษัทซึ่งจะเป็นตัวแทนนักลงทุนไปบี้ CEO หรือ(ผู้ประกอบการ(Entrepreneurship)) ให้ทำงานให้เราตามเป้า เช่นปีนี้ต้องการ Return on equity(ROE) 10% ไปทำมาถ้าทำไม่ได้ก็ไล่ออกไปทำงานที่อื้นไป้
ดังนั้นหน้าที่ของผู้ประกอบการหรือ CEO ก็จะทำหน้าที่ประสานผลประโยชน์ของเจ้าของทรัพย์ยากรทั้งสามก็คือที่ดิน(Land) ทุน(Capital) แรงงาน(labor) และก็ทำหน้าที่วางกลยุทธ์ว่าจะพาทรัพย์ยากรไปทางไหน สำหรับผู้บริหารมีหน้าที่ที่ต้องทำสามสิ่งคือ 1 วางแผน 2 ควบคุม 3 ติดตาม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและปริสิทธิผลตรงตามที่ลู้ค้าต้องการ ส่วนกำไรเป็นของเรา(นักลงทุน)
ดังนั้นเวลาลงทุนในตลาดต้องรู้ตัวครับว่าตอนนี้เราสวมหมวกเป็นนักลงทุน ก็ต้องคิดแบบนักลงทุนในหัวคิดแค่เรื่องผลตอบแทนและความเสี่ยง และความคุ้มค่าในการลงทุน บวกกับดูทิศทางลมว่า CEO จะพาเราไปทางไหน ถ้าพาทุนของเราไปสู้ในตลาดที่แข่งกันดุ คู่แข่งเยอะ การบริหารภายในก็ไม่ดี ก็สละเรื่อเถ้อ
เจ้าของที่ดิน(Land) คิดในหัวอย่างเดียวคือจะเก็บค่าเช่า
แรงงาน(labor) ทำงานก็ได้ค่าแรง ในหัวก็คือทำงานแล้วคุ้มค่าแรงไหม สิ้นเดือนไปเที่ยวไหนดี เงินเดือนออกแล้วไปผ่อนมือถือรุ่นไหนดี ไม่คุ้มก็ไปหาที่อื่น
นักลงทุน(Capital) ในหัวจะคิดอยู่สองอย่างคือผลตอบแทน(return) และความเสี่ยง(risk) สำหรับการลงทุนในหุ้นเงินของเราจะอยู่ในส่วนของเจ้าของผลตอบแทนที่ได้คือได้ส่วนแบ่งกำไรออกมาในรูปเงินปันผล(ถ้าบริษัทมีกำไร) แต่ในบริษัทมหาชนเจ้าของทุนมีจำนวนมากบางคนก็ถือไม่ถึง 1% จะได้บริหารทั้งหมดก็ไม่ได้ดั้งนั้นการบริหารก็จะผ่านคณะกรรมการบริษัทซึ่งจะเป็นตัวแทนนักลงทุนไปบี้ CEO หรือ(ผู้ประกอบการ(Entrepreneurship)) ให้ทำงานให้เราตามเป้า เช่นปีนี้ต้องการ Return on equity(ROE) 10% ไปทำมาถ้าทำไม่ได้ก็ไล่ออกไปทำงานที่อื้นไป้
ดังนั้นหน้าที่ของผู้ประกอบการหรือ CEO ก็จะทำหน้าที่ประสานผลประโยชน์ของเจ้าของทรัพย์ยากรทั้งสามก็คือที่ดิน(Land) ทุน(Capital) แรงงาน(labor) และก็ทำหน้าที่วางกลยุทธ์ว่าจะพาทรัพย์ยากรไปทางไหน สำหรับผู้บริหารมีหน้าที่ที่ต้องทำสามสิ่งคือ 1 วางแผน 2 ควบคุม 3 ติดตาม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและปริสิทธิผลตรงตามที่ลู้ค้าต้องการ ส่วนกำไรเป็นของเรา(นักลงทุน)
ดังนั้นเวลาลงทุนในตลาดต้องรู้ตัวครับว่าตอนนี้เราสวมหมวกเป็นนักลงทุน ก็ต้องคิดแบบนักลงทุนในหัวคิดแค่เรื่องผลตอบแทนและความเสี่ยง และความคุ้มค่าในการลงทุน บวกกับดูทิศทางลมว่า CEO จะพาเราไปทางไหน ถ้าพาทุนของเราไปสู้ในตลาดที่แข่งกันดุ คู่แข่งเยอะ การบริหารภายในก็ไม่ดี ก็สละเรื่อเถ้อ
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
อาชีพนักลงทุน ทำเป็นอาชีพได้จริงหรือไม่
อาชีพนักลงทุน บทสัมภาษณ์ ด.ร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จากรายการ money talk มีประโยชน์ดีก็มาแบ่งปันกัน เขาตั้งคำถามเปิดประเด็นว่าเป็นนักลงทุนอย่างเดียวเป็นอาชีพได้หรือไม่
ด.ร.นิเวศน์ บอกว่าอาชีพนักลงทุนก็คือคนที่มีมีทรัพย์สินที่ไปลงทุนและออกดอกออกผลให้เลี้ยงตัวเองได้ ผลตอบแทนที่ปลอดภัยจากเงินทุนอย่างน้อย 5% ของเงินลงทุนต่อปีหรือคิดง่ายๆว่ามีทุนมากกว่ารายจ่ายประมาณ 200 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
คุณสมบัติ ของคนที่จะยึดอาชีพนี้ ต้องมีความทุ่มเท มีความรู้การลงทุนอย่างถูกต้อง รู้จักความเสียง เทคนิคการลดความเสียง บริษัทไหนถูกแพง หุ้นตัวไหนเก็งกำไร หุ้นตัวไหนลงทุน ฯลฯ พื้นหลังควรมีความรู้ทางธุรกิจ อ่านงบการเงินให้เป็นเพราะคือภาษาของธุรกิจ
ข้อดีก็คือมีชีวิตอิสระ ไม่มีเวลาเข้าออกงาน ไม่มีเจ้านาย ส่วนข้อเสียไม่มีฐานะในสังคมเพราะไม่มีตำแหน่ง ไม่มีสวัดิการ รถประจำตำแหน่ง
สำหรับเด็กที่พึงจบมาแล้วอยากเป็นนักลงทุนเลย ด.ร.ไม่แนะนำให้ทำงานซักพักแล้วค่อยมาทำได้ีเรียนรู้ชีวิตก่อน ถ้าเป็นนักลงทุนตั้งแต่ทีแรกเพื่อนก็ไม่ค่อยมี ประสบการณ์ก็น้อย ลองสำรวจว่าตัวเองรักที่จะทำอะไร ควรทำคู่ขนานกันไป จนทุนถึงระดับนึกก็ออกมาได้
สุดท้ายด.รให้นิยามของนักลงทุนว่าเป็นจุดสูงสุดทางธุรกิจเพราะเป็นผู้จัดสรรเงินทุนให้กับกิจการต่างๆ กิจการไหนที่ทำแล้วสร้างมูลค่าเพิ่มมากๆ
=======================================อ่านหนังสือมาเยอะแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
รวม 3 หลักสูตร Online ในคอรสเดียว เรียนจบวิเคราะห์หุ้นได้ทุกตัวในตลาด
✅เเจาะงบราย sector + ประเมินมูลค่า + แกะงบทุกตัวในตลาด(ปีละครั้ง) และสรุปงบ ทุกไตรมาส
✅เรียนOnlineผ่านวิดิโอในfacebookกลุ่มปิด ความยาวกว่า 60 ชั่วโมง
✅ดูได้ตลอดชีพ ไม่มีลบคลิป และไลฟอัพเดทเนื้อหาให้ทันสมัยตลอดเวลา
✅สงสัยถามได้ตลอดเวลา
☀เรียนแล้วได้อะไร☀
✅ดูการ เกิดขึ้นตั้งอยู่และถดถอย ของธุรกิจผ่านงบการเงิน
✅แต่ละช่วงเศรษฐกิจ sector ไหนไป sector ไหนมา และเครื่องมือดูแบบ real time
✅การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มการเงิน คุณภาพลูกหนี้ดูตรงไหน
✅กลุ่มธุรกิจบริการ การเติบโต จุดคุ้มทุนดูอย่างไร
✅โรงแรม สื่อสาร ค้าปลีก
✅การวิเคราะห์ธุรกิจผลิต เทคนิคดูกำลังการผลิตของโรงงาน เมื่อไรจะต้องขยายโรงงานใหม่
✅ประสิทธิภาพโรงงานเป็นอย่างไร ใครดีใครด้อย เผยชัดๆ
✅การวิเคราะห์ธุรกิจ ซื้อมาขายไป สิ้นค้าค้างสต็อก เก็บเงินไม่ได้ดูอย่างไร
✅การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มรับเหมา
✅การวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ แบบไวๆ จะโอนได้เมื่อไร
✅การวิเคราะห์หุ้น วงจร รอบมา รอบไป สัญญาณในงบการเงิน
✅หุ้น turn around เจ้ากำลังแอบทำโปรเจกอะไรในงบการเงิน
✅การประมเนมูลค่าของแต่ละ sector ว่ามมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
🔈สอนโดย อ ภัทรธร ช่อวิชิต
นักลงทุนอิสระ เจ้าของผลงานหนังสือ คุ้ยแคะแกะหุ้นเด้ง และเจาะหุ้นร้อนสแกนหุ้นเด้ง
=======================================
แคปรูปตรงนี้มาได้ส่วนลดพิเศษจากปกติ 5000 บาท เหลือเพียง 2,800 บาทเท่านั้น
☎ติดต่อสอบถามและลงทะเบียน (รับจำนวนจำกัด)
line id; pat4310
=======================================
logistics management คืออะไร
logistics management คำนี้เริ่มดังในปี 1985 สมัยนั้นบริษัทต่างๆยังไม่ค่อยจัดการในภาพรวมซักเท่าไร บางบริษัทก็เน้นแต่การผลิต บางบริษัทก็ขายอย่างเดียว แต่หลังจากที่ Michael Porter เขียนในหนังสือชื่อดัง Competitive Advantage ว่าการที่จะส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าได้นั้นทุกแผนกต้องสัมพันธ์กัน เฮียPorterก็ทำมาเป็นแบบจำลองว่ามี 9 ปัจจัยตามรูปที่ทำให้กิจการมีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่ง
พอโมเดลนี้ออกมาทำให้ธุรกิจต้องรีบปรับปรุงตัวเองใุนทุกด้านทั้งโครงสร้าง องค์กร ไอที จัดซื้อ มาติดอยู่คำว่า "logistics" ทุกบริษัทงงเป็นไก่ตาแตกว่า logistics คืออะไรและ Inbound Logistics กับ Outbound logistics คืออะไรวะรวมถึง logistics management
ด.ร พงษชัย อธิคมรัตนกุลได้ให้ความหมายของคำว่า logistics management ว่า
1. logistics สรุปเป็นคำสี่คำก็คือ เคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย ซึ่งบริษัทไหนๆก็มีกิจกรรมเหล่านี้ ก็จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ Inbound Logistics Outbound logistics
1.1 Inbound Logistics ก็คือกิจกรรมเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย วัตถุดิบหรือชิ้นส่วน
1.2 Outbound logistics ก็คือกิจกรรมเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย สินค้าหรือบริการไป หาลูกค้า
2. management ในการจัดการผู้บริหารมีหน้าที่สามอย่างคือ Planning Monitoring Controlling เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ (ผลเท่าเดิมแต่ใช้วัตถุดิบน้อยลง) และประสิทธิผล(เน้นผลงานเป็นสำคัญเปลืองวัตถุดิบเท่าไหร่ไม่ว่า) โดยคำนึงถึงความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ
สรุปวัตถุประสงค์หลักจริงๆของการจัดการโลจิสติกส์ก็คือการบริหารจัดการการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้านั่นเอง หรือเขียนเป็นหลักการ Seven Rights ไว้ท่องให้ขึ้นใจว่า
ตามปริมาณที่ลูกค้าสั่งซื้อ (Right quantity)
ถือเอาคุณภาพที่ตกลง (Right condition)
ส่งตามที่นัดหมาย (Right place)
ได้ตามเวลาที่กำหนด (Right time)
อยู่ในปริบทที่คุ้มต้นทุน (Right cost)
พอโมเดลนี้ออกมาทำให้ธุรกิจต้องรีบปรับปรุงตัวเองใุนทุกด้านทั้งโครงสร้าง องค์กร ไอที จัดซื้อ มาติดอยู่คำว่า "logistics" ทุกบริษัทงงเป็นไก่ตาแตกว่า logistics คืออะไรและ Inbound Logistics กับ Outbound logistics คืออะไรวะรวมถึง logistics management
ด.ร พงษชัย อธิคมรัตนกุลได้ให้ความหมายของคำว่า logistics management ว่า
"การจัดการโลจิสติกส์ หมายถึง การบริหารจัดการขบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน การดำเนินการ และการควบคุมการทำงานขององค์กร ให้เกิดการเคลื่อนย้าย การจัดเก็บ การรวบรวม และการกระจายสินค้า วัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ หรืออาจรวมถึงการบริการ ที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด โดยคำนึงถึงความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยปัจจุบันถือว่าเป็นขบวนการหนึ่งในการบริหารจัดการโซ่อุปทาน"จากความหมายนี้คำว่า logistics management ประกอบด้วยสองคำครับคือ logistics และคำว่า management ก็จะขออธิบายแยกดังนี้ครับ
1. logistics สรุปเป็นคำสี่คำก็คือ เคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย ซึ่งบริษัทไหนๆก็มีกิจกรรมเหล่านี้ ก็จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ Inbound Logistics Outbound logistics
1.1 Inbound Logistics ก็คือกิจกรรมเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย วัตถุดิบหรือชิ้นส่วน
1.2 Outbound logistics ก็คือกิจกรรมเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจาย สินค้าหรือบริการไป หาลูกค้า
2. management ในการจัดการผู้บริหารมีหน้าที่สามอย่างคือ Planning Monitoring Controlling เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ (ผลเท่าเดิมแต่ใช้วัตถุดิบน้อยลง) และประสิทธิผล(เน้นผลงานเป็นสำคัญเปลืองวัตถุดิบเท่าไหร่ไม่ว่า) โดยคำนึงถึงความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ
สรุปวัตถุประสงค์หลักจริงๆของการจัดการโลจิสติกส์ก็คือการบริหารจัดการการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้านั่นเอง หรือเขียนเป็นหลักการ Seven Rights ไว้ท่องให้ขึ้นใจว่า
ได้ผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ (Right product & Right customer)
ตามปริมาณที่ลูกค้าสั่งซื้อ (Right quantity)
ถือเอาคุณภาพที่ตกลง (Right condition)
ส่งตามที่นัดหมาย (Right place)
ได้ตามเวลาที่กำหนด (Right time)
อยู่ในปริบทที่คุ้มต้นทุน (Right cost)
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
PAF จะ turn around ?
เวลาวิเคราะห์หุ้นที่กำลัง turn around
ความยากก็คือต้องมองในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นให้ออก
ถ้าเป็นนักลงทุนทั่วไปเห็นบริษัทขาดทุนก็ไม่อยากเข้ามาลงทุนแล้ว
แต่สำหรับสุดยอดนักลงทุนต้องมองลึกอีกชั้นว่า
1. บริษัทขาดทุนเพราะอะไร เป็นปัจจัยชั่วคราวหรือถาวร
2. บริษัทจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร
สำหรับ PAF เป็นบริษัทในเครือสหพัฒนสมัยก่อนเป็นผู้ผลิตรองเท้าให้ Nike เนื่องจากค่าแรงถูกแต่ตอนหลังก็ถูก จีนกับเวียดนามแย่งตลาดไปเพราะค่าแรงถูกว่า
อย่างไรก็ตามเครือสหพัฒนคงไม่ปล่อยให้เจ้งหายไปต่อหน้าต่อตา เพราะอตุสาหสร้างเครือข่าย supply chain เป็นบริษัทลูกไว้เพียบหมดเงินไปเยอะ ใน ก.พ.ปี 2554 ก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นจากที่โยงกันมั่วไปหมด เป็นบริษัทแม่คือ บมจ. ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล บมจ. สหพัฒนพิบูล และบริษัทในเครือเข้ามาถือรวม 60%
สิ่งที่เข้ามาทำก็คือการปรับ Business Model ใหม่เพราะรู้ว่าแข่งด้วยค่าแรงไม่ได้แล้วมีแต่แพ้ มาเป็นแข่งด้วยนวัตกรรมแทน มีการตั้งบริษัทวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวมีสินค้าใหม่ๆมาเสนอลูกค้า ปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริหาร จุดสำคัญที่จะฟื้นได้หรือไม่ก็คือต้องหาลูกค้ารายใหม่มาให้ได้ ณวันนี้(ธ.ค/2011)ก็ยังหาไม่ได้มีแต่ข่าวว่าจะได้จะได้ ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างก็คือกำไรขั้นต้นในไตรมาสสามที่ผ่านมาก็ยังติดลบ อยู่(ถ้าปรับปรุงกระบวนการผลิตดีๆกำไรขั้นต้นก็น่าจะสูงขึ้น) แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกระแสเงินสดจากการดำเินินงานที่ติดลบกระจุยกระจายอย่างต่อเนื่อง(ถึงแม้หุ้นจะขาดทุนแต่ถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังเป็นบวกได้ก็ยังถือได้สบายใจขึ้นครับ)
แบบนี้ก็ต้องลุ้นอย่างไกล้ชิดต่อไปครับสำหรับหุ้นตัวนี้ ข้างล่างเป็นข่าวเก่าจากหนังสือพิมพ์ทันหุ้นครับ ซักวันจะเป็นจริง
ทีมา
1. บริษัทขาดทุนเพราะอะไร เป็นปัจจัยชั่วคราวหรือถาวร
2. บริษัทจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร
สำหรับ PAF เป็นบริษัทในเครือสหพัฒนสมัยก่อนเป็นผู้ผลิตรองเท้าให้ Nike เนื่องจากค่าแรงถูกแต่ตอนหลังก็ถูก จีนกับเวียดนามแย่งตลาดไปเพราะค่าแรงถูกว่า
อย่างไรก็ตามเครือสหพัฒนคงไม่ปล่อยให้เจ้งหายไปต่อหน้าต่อตา เพราะอตุสาหสร้างเครือข่าย supply chain เป็นบริษัทลูกไว้เพียบหมดเงินไปเยอะ ใน ก.พ.ปี 2554 ก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นจากที่โยงกันมั่วไปหมด เป็นบริษัทแม่คือ บมจ. ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล บมจ. สหพัฒนพิบูล และบริษัทในเครือเข้ามาถือรวม 60%
สิ่งที่เข้ามาทำก็คือการปรับ Business Model ใหม่เพราะรู้ว่าแข่งด้วยค่าแรงไม่ได้แล้วมีแต่แพ้ มาเป็นแข่งด้วยนวัตกรรมแทน มีการตั้งบริษัทวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวมีสินค้าใหม่ๆมาเสนอลูกค้า ปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริหาร จุดสำคัญที่จะฟื้นได้หรือไม่ก็คือต้องหาลูกค้ารายใหม่มาให้ได้ ณวันนี้(ธ.ค/2011)ก็ยังหาไม่ได้มีแต่ข่าวว่าจะได้จะได้ ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างก็คือกำไรขั้นต้นในไตรมาสสามที่ผ่านมาก็ยังติดลบ อยู่(ถ้าปรับปรุงกระบวนการผลิตดีๆกำไรขั้นต้นก็น่าจะสูงขึ้น) แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกระแสเงินสดจากการดำเินินงานที่ติดลบกระจุยกระจายอย่างต่อเนื่อง(ถึงแม้หุ้นจะขาดทุนแต่ถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังเป็นบวกได้ก็ยังถือได้สบายใจขึ้นครับ)
แบบนี้ก็ต้องลุ้นอย่างไกล้ชิดต่อไปครับสำหรับหุ้นตัวนี้ ข้างล่างเป็นข่าวเก่าจากหนังสือพิมพ์ทันหุ้นครับ ซักวันจะเป็นจริง
ทีมา
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)