วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จับเท็จ..."หุ้นอสังหาฯ" 4 วิธี "เลี่ยงหลุมพราง" ทางบัญชี

จะเล่นหุ้นอสังหาฯ ให้มีกำไรต้องทำอย่างไร นักวิเคราะห์แนะนำว่า มีกลเกมทางบัญชี 4 วิธีที่ผู้ลงทุนต้องรู้ทุน คือ การบันทึกรายได้ กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่าย และการไหลของกระแสเงินสด กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยมีมากถึง 68 บริษัท แยกเป็น 5 กลุ่ม ทั้งรับเหมาก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย พัฒนาโครงการให้เช่า โรงงานอุตสาหกรรม และน้องใหม่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และสิทธิการเช่า ซึ่งกลุ่มหลังสุดนี้โตขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีกองทุนเข้ามาจดทะเบียนต่อเนื่อง ทั้ง 5 ธุรกิจในเซคเตอร์อสังหาฯ รวมๆ กันแล้วมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 10% ของตลาด แต่กระจายกันถึง 68 หลักทรัพย์ แค่เลือกว่าจะลงทุนตัวไหนก็ละลานตาพอแล้ว แต่นักวิเคราะห์ยังเตือนไว้ด้วยว่า "เล่นหุ้นอสังหาฯ ไม่ง่าย" เพราะแต่ละบริษัทมีกลวิธีทางบัญชีที่แตกต่างกัน ฉะนั้นจะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ ต้องตาดีเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอาจตกหลุมพรางทางบัญชีที่ถูก "ขุดล่อ" ไว้

1. วิธีบันทึกรายได้
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส บอกว่า ก่อนจะตัดสินใจลงทุน หรือไม่ลงทุนในหุ้นอสังหาฯ นอกจากต้องเข้าใจกลไกและผลกระทบของปัจจัยต่างๆ ในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ย ความเชื่อมั่น มาตรการต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่สุด ต้องเข้าใจโครงสร้างรายได้ วิธีบันทึกรายได้ และการทำประมาณการผลการดำเนินงาน เพราะหุ้นกลุ่มนี้ แตกต่าง จากกลุ่มอื่นๆ หรือแม้แต่ในกลุ่มอสังหาฯ เหมือนกัน ก็ยังมีวิธีบันทึกรายได้และประมาณการแตกต่างกัน สินค้าทั่วไป ถ้าขายแล้วได้เงินมา ก็จะบันทึกราคาเลย แต่บริษัทอสังหาฯ ไม่ใช่ จะบันทึกรายได้เฉพาะส่วนที่ "สร้างเสร็จ" แล้วเท่านั้น ไม่ใช่เท่านั้น เพราะการบันทึกรายได้ของธุรกิจบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือที่เรียกว่า โครงการแนวราบ กับโครงการคอนโดมิเนียมก็ "แตกต่าง" กันอีก เทิดศักดิ์อธิบายว่า การบันทึกรายได้ในบัญชีมี 3 เงื่อนไข คือ
  • บริษัทต้องได้รับเงินจากลูกค้าอย่างน้อย 20% ของราคาขาย 
  • งานก่อสร้างต้องคืบหน้าเกิน 10% และลูกค้าผ่อนดาวน์ต้องไม่ขาดผ่อนต่อเนื่องเกิน 3 งวด
  •  ส่วนกรณีคอนโดมิเนียม จะเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อว่า โครงการนั้นต้องมียอดขายพื้นที่ "เกิน 40%" ของพื้นที่ขาย โครงการคอนโดมิเนียมจะแบกรับความเสี่ยงมากกว่าบ้านเดี่ยวหรือ ทาว์นเฮ้าส์ จึงต้องการยอดขายและกำไรขั้นต้นที่สูงกว่า ผู้ลงทุนที่จะซื้อหุ้นของกิจการคอนโดมิเนียมจึงต้องพิจารณาให้ดี

2. อัตรากำไรขั้นต้น
อีกเรื่องที่ต้องดูคือการคาดการณ์ กำไรขั้นต้น หรือ "Gross Margin" ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึง "ฝีมือ" ผู้บริหาร ถ้า Gross Margin สูงๆ โดยปกติก็บ่งชี้ว่า จัดการเก่ง มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการเป็นเยี่ยม แต่บางกรณี Gross Margin ก็อาจถูก หมกเม็ด ได้เช่นกัน ที่เห็นกันบ่อยๆ คือ กำไรขั้นต้นสูง แต่ไม่ได้เกิดจากการบริหารจัดการที่ดี แต่มาจากการเล่นกลทางบัญชี เทิดศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่า บางบริษัทที่มี Gross Margin สูง เพราะมีการปรับปรุงทาง บัญชี เช่น ปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ในอดีต ทำให้เมื่อนำสินทรัพย์ชิ้นที่ถูกปรับลดมูลค่ามาพัฒนาเพื่อขาย จึงมีต้นทุนต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นสูงกว่าปกติ กำไรขั้นต้น หรือ Gross Margin สูง ยังอาจมาจากกลยุทธ์พัฒนาที่ดินของผู้บริหาร เช่นสะสมที่ดินแปลงใหญ่มาหลายปี แต่ทยอยพัฒนา เช่น มีที่ดินสะสม 100 ไร่ ซึ่งในการพัฒนาที่ดินเฟสแรกๆ กำไรขั้นต้นจะต่ำเพราะมีต้นทุนสูง แต่หลังจากนั้นมูลค่าที่ดินสูงขึ้น และตั้งราคาสินค้าได้สูงกว่าเฟสแรก กำไรขั้นต้นก็สูงขึ้นในช่วงเฟสท้ายๆ กำไรขั้นต้นของกลุ่มอสังหาฯ เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 41% ในปี 2546 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านสร้างไม่พอขาย ทำให้การสต็อกสินค้าต่ำมากๆ และตลาดเป็นของผู้ขาย แต่จากนั้น Gross Margin ก็ถอยลงมาเรื่อยๆ จนเหลือ 32-34% สะท้อนว่าตอนนี้ตลาดเป็นของผู้ซื้อ" กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เทิดศักดิ์ยกตัวอย่างบริษัทสัมมากร" ซึ่งซื้อที่ดินแปลงใหญ่และพัฒนาโครงการ โดยใช้เวลาถึง 10 ปี ตอนนั้นโครงการหมู่บ้านที่บางกะปิ เคยมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 70% แต่พอที่ดินหมด กำไรขั้นต้นก็ลดลง ฉะนั้นในการพิจารณา Gross Margin หากเห็นว่าสูงผิดปกติ ต้องเจาะลึกด้วยว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปหรือไม่ "ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร" ก็เป็นอีกรายการหนึ่งที่ต้องดูอย่างละเอียด และเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ผู้ลงทุนต้องระวัง..

3. ค่าใช้จ่าย
โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของธุรกิจอสังหาฯ จะมี 4 ส่วน คือ ค่าจ้างเงินเดือน และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดในการจัดการต่างๆ ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาประเมิน ค่าธรรมเนียมการโอน 2% และค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายส่วนใหญ่จะคิดราว 3% ของยอดจอง รวมเป็น 7.3% สิ่งที่ควรระวังก็คือ ในบางกรณีการบันทึกบัญชี จะมีค่าใช้จ่ายการขายแปลกๆ เกิดขึ้น เช่น โปรโมชั่นแปลกๆ ให้ของแลกแจกแถม ดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งถ้าเห็นความผิดปกติ ต้องสอบถามผู้บริหารด้วย สิ่งที่ต้องจับตาอีกอย่างคือ โครงสร้างการเงินและแนวโน้มการก่อหนี้ ในช่วงวิกฤติ บริษัทอสังหาฯ ส่วนใหญ่จะเติบโตด้วยการก่อหนี้ โดยไปกู้ยืมเงินนอกประเทศ เพราะได้อัตราดอกเบี้ยถูก แต่หลังการปล่อยค่าเงินลอยตัว ทำให้มีหนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยในปี 2543 สัดส่วนหนี้สิน (Net Gearing) สูงถึง 11% จากนั้นจึงทำการ "แฮร์คัต" หรือปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ Net Gearing ปัจจุบันเหลือเพียง 0.7% ช่วงนี้จึงถือว่าฐานเงินทุนบริษัทอสังหาฯ แข็งแรง เพราะเป็นการเติบโตจากเงินของผู้ถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่

4. งบกระแสเงินสด
วิธีดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ "สถานะ" (Position) ของกิจการได้ทางหนึ่ง "ในช่วงเริ่มฟื้นตัวของกิจการ หรือช่วงขยายกิจการ ส่วนใหญ่จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ แต่เมื่อผ่านช่วงการลงทุนไปแล้ว ฐานธุรกิจใหญ่ขึ้น กระแสเงินสดจะเป็นบวก" "ดูวิธีบันทึกบัญชี เกาะติด Gross Margin พิจารณาค่าใช้จ่ายในการขาย และปรายตาดูกระแสเงินสด" นี่คือแนวทางหลักๆ ในการค้นหาความจริงของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่นักวิเคราะห์แนะนำไว้ หากทำได้ครบ รับรองว่าได้หุ้นถูกตัว ถูกใจ มีกำไรได้ไม่ยาก..

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การประยุกต์ใช้ EBITDA และข้อจำกัด

EBITDA วิธีจำความหมายให้ขึ้นใจก็จำเป็นตัวย่อไว้ดังนี้ กำไร(Earning) ก่อน(Before) ดอกเบี้ยจ่าย(Interest) ภาษี(Tax) ค่าเสื่อม(Depreciation) ถ้าดูเผินก็เหมือนกำไรที่มาจากธุรกิจจริงยังไม่แบ่งให้เที่มาของทุน (เจ้าหนี้ เจ้าของทุน) แต่มันลึกกว่านั้นครับ ก็ยกบทความของคุณ green-orange [1] มาให้อ่านกันครับ เชิญอ่านโดยพัน

การนำเอา EBITDA ไปใช้และข้อจำกัด
ต่อ จากบทความที่แล้ว และที่น้องปิ๊กขอมา เป็นแรงบันดาลใจทำให้ผมต้องมานั่งคิดอยู่นานว่าจะเขียนอย่างไรดี แล้วผมจะเขียนให้คนอ่านรู้เรื่องได้ไหมเนี่ย…แต่แล้วผมก็คิดว่าผมจะพยายาม ลองดูครับ เป็นการฝึกฝนตนเองไปด้วย ถ้าผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องอย่างไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
เริ่มเลยแล้วกัน……

ในการนำเอา EBITDA ไปใช้นั้น ในความคิดส่วนตัว ผมเห็นว่าเราจำเป็นที่จะต้องพิจารณาหลายสิ่งด้วยกันดังนี้
1 หนี้สินต่อทุนและภาระดอกเบี้ยจ่าย
2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT)
3 ลักษณะของกิจการ
4 ความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ
5 Utilization Rate

ทีนี้เราลองมาดูทีละประเด็นกันนะครับ ว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญในการพิจารณาอย่างไร

1 หนี้สินต่อทุนและภาระดอกเบี้ย
เหตุผล ที่เราต้องมาพิจารณาหนี้สินต่อทุนและภาระดอกเบี้ยจ่ายประกอบนั้น เนื่องจากว่า EBITDA นั้นเป็นกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจ่าย ซึ่งยังไม่ได้มีการพิจารณาถึงโครงสร้างหนี้สินต่อทุนของกิจการ (หนี้สินในที่นี้หมายถึงหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย) เลยว่าสินทรัพย์ที่ได้มานั้นได้มาจากส่วนไหนในอัตราส่วนเท่าไหร่ เช่น ถ้าหากกิจการ A มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน = 1:1 ส่วน B มีภาระหนี้สินต่อทุน 1:2 และอัตราดอกเบี้ยจ่าย = 5% เท่ากันทั้ง 2 บริษัท นั่นก็จะทำให้เราทราบคร่าวๆว่า บริษัท A นั้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่า B ในเรื่องของภาระดอกเบี้ยจ่ายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ได้นำไปหักออกจาก EBITDA ซึ่งการดูเฉพาะเรื่องของอัตราหนี้สินต่อทุนก็ยังบอกอะไรเราไม่ได้มากนัก ต้องดูอย่างอื่นประกอบเพิ่มเติม

2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT)
ทำไม เราต้องมาดูเรื่องอัตรากำไรจากการดำเนินงานของกิจการกัน (EBIT) สาเหตุก็เนื่องจากถ้า 2 กิจการมี EBIT ที่เท่ากันแต่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนและดอกเบี้ยจ่ายที่แตกต่างกันแล้ว ก็จะทำให้มีผลอย่างมากต่อการพิจารณาลงทุนของนักลงทุนดังที่แสดงในตารางด้าน ล่างซ้ายมือ เราลองมาดูตัวอย่างเพิ่มเติมกันนะครับ สมมุติว่าทั้ง 2 บริษัทที่มี EBIT เท่ากันที่ 10% ในตอนแรกนั้นมียอดขายลดลง 10% เท่ากันพอดี แต่บริษัท B มีอัตราหนี้สินน้อยกว่า A ที่อัตราดอกเบี้ยจ่าย 5% เท่ากัน สังเกตุว่าบริษัท A เกือบจะขาดทุนแต่บริษัท B ยังพออยู่ได้ ดังแสดงในตารางด้านล่างด้านขวามือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่ารายได้ลดลงมากกว่า 10%??? เพื่อนลองจินตนาการดูเอาเองนะครับ

3 ลักษณะของกิจการ
ที่ นี้เราก็จะมาดูกันนะครับว่าลักษณะของกิจการมันมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอะไร กับเรื่องนี้กันครับ ผมคิดว่ากิจการที่เราควรจะระมัดระวังก็คือกิจการที่มีต้นทุนคงที่สูงและมี รายได้ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่กิจการลักษณะนี้ก็จะต้องมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสูง ซึ่งสินทรัพย์ถาวรเหล่านี้จะใช้เป็นตัวสร้างรายได้หลักของกิจการ และโดยปกติก็จะต้องมีการปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมทั้งต้องมีการตัดค่าใช้จ่ายเป็นค่าเสื่อมราคาที่สูงตามไปด้วย เช่น กิจการโรงแรม โรงงานปิโตรเคมี โรงงานผลิตสินค้าอิเลคทรอนิคส์ เป็นต้น

4 ความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ
ถาม ว่าข้อนี้แตกต่างอย่างไรกับลักษณะของกิจการในข้อ 3 ผมคิดว่ามีความแตกต่างแน่นอนครับ เพราะลักษณะกิจการบางอย่างเป็นกิจการที่มีความจำเป็นและไม่ค่อยมีความอ่อน ไหวกับภาวะเศรษฐกิจมากนัก ลูกค้าไม่สามารถชะลอการใช้จ่ายได้นานมากนัก ทำให้รายได้มีความสม่ำเสมอและค่อนข้างมั่นคงมากกว่า เพราะเป็นสินค้าปัจจัย 4 เช่น โรงพยาบาล ห้างค้าปลีก เป็นต้น ซึ่งก็ต้องมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและเครื่องไม้เครื่องมือค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งที่แตกต่างกับพวกโรงแรมหรือโรงงานปิโตรเคมีนั้น ค่อนข้างชัดเจนคือ ความสม่ำเสมอของรายได้ และความจำเป็นที่ต้องใช้

5 Utilization Rate
อัน นี้ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก สาเหตุก็เนื่องจากถ้าหากกิจการมีอัตราการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์ใกล้จะเต็ม กำลังแล้วนั้น กิจการจะต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวรใหม่ซึ่งต้องการเงินลงทุนในปริมาณสูงมาก และจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าเสื่อมราคามาลดกำไรลง เพราะกว่าที่สินทรัพย์ใหม่จะสามารถสร้างรายได้จนถึงจุด คืนทุนได้นั้นก็คงต้องใช้เวลาสักระยะขึ้นอยู่กลับลักษณะของกิจการ

สรุป แล้วในความคิดส่วนตัวของผมนั้น ผมไม่ชอบที่จะใช้ EBITDA ในการประเมินมูลค่าหุ้นมากนัก เนื่องจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจ่ายนั้น ผมคิดว่าเป็นค่าใช้จ่ายจริงๆที่เกิดขึ้น แต่ว่ากิจการได้จ่ายเงินสดในการลงทุนในสินทรัยพ์นั้นๆออกไปก่อนแล้ว เพียงแต่ในทางบัญชีอนุญาติให้บริษัทค่อยนำเอาค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมาแบ่งหัก ออกเป็นค่าใช้จ่ายตามแต่วิธีที่กิจการเห็นว่าเหมาะสมในการเลือกใช้ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จะต้องถูกนำไปใช้ซื้อสินทรัยพย์ใหม่เข้ามาทดแทนของ เก่าที่หมดสภาพลงในอนาคตอยู่ดี แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจะพิจารณาก็คือระยะเวลาและวิธีการที่ บริษัทเลือกใช้ในการตัดค่าเสื่อมราคานั้นมีความเหมาะสมกับอายุการใช้งานของ สินทรัพย์เหล่านั้นและสอดคล้องกับกลยุทธของบริษัทหรือไม่ และผมเห็นว่าเราควรที่จะนำเอา EBIT ไปใช้มากกว่าในการประเมินมูลค่าหรือวิเคราะห์กิจการ แทนที่จะนำเอา EBITDA ไปใช้ และก็ต้องใช้ประกอบกับอัตราส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น กระแสเงินสดอิสระหลังจากที่ได้ลงทุนในส่วนของการบำรุงรักษาและส่วนของการ เติบโตด้วย เป็นต้น และสุดท้ายคือ EBITDA นั้น ส่วนของ ค่าเสื่อมราคา (D) นั้นมันเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดในวันนี้ที่จะต้องถูกนำไปใช้ทดแทนหรือ ปรับสภาพสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิมหรือดีขึ้นในอนาคตเนื่องจากมี เทคโนโลยี่ใหม่มาทดแทนของเดิมที่อาจจะทำให้สินทรัพย์เดิมล้าสมัยเร็วกว่า เวลาอันควร โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นพวกเทคโนโลยี่หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี่ใน การผลิตที่ใครๆมีเงินก็หาซื้อมาใช้ได้

อ้างอิง
[1] green-orange , การนำเอา EBITDA ไปใช้และข้อจำกัด, http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51081

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สรุปความรู้ที่ได้จากงานเดินหมากลงทุนในหุ้นกับสุมาอี้ 25 มค.

เขียนสรุปโดยคุณ earthcu [1] แห่งเว็ปไทยวีไอครับ เกี่ยวกับการหาหุ้นที่มี long term growth ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยื่นนั่นเอง ถ้าอ่านบทความจะเห็นว่าบริษัทที่จะชนะในการแข่งขันจะต้องมีกลยุทธ์ที่ล้อกับความจุดแข็งหลังขององค์กรและคู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก เชิญอ่านโดยพลัน

เนื่องด้วยได้มีโอกาสไปร่วมงานเสวนาเดินหมากลงทุนกับสุมาอี้ ของ P’สุมาอี้ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วน เผื่ออาจจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นบ้างครับ (รบกวนพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่น ช่วย comment ด้วยครับ ถ้าผมจดผิดหรือเข้าใจในประเด็นที่วิทยากรสื่อสารคาดเคลื่อน)

1.การ ที่เราลงทุนในหุ้น long term growth นั้นประเด็นที่สำคัญคือการมองเพดานการเติบโตของธุรกิจนั้นว่ามีเพดานการเติบ โตว่าเยอะมากน้อยขนาดไหน

2.หุ้น long term growth นั้น ส่วนใหญ่จะได้ซื้อในราคาที่ไม่ถูกมาก (fair price) ซึ่งอาจจะต่างจากการลงทุนในแนว VI ที่นักลงทุนอาจจะต่อรองราคามากกว่า

3.ตัวอย่าง หุ้น long term growth นั้น เช่น กลุ่มห้างสรรพสินค้า ซึ่งการที่จะเปิดสาขาเพิ่มนั้นไม่ได้ลำบากมากนัก ถ้าเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงกลั่นซึ่งอาจจะต้องถึงขั้นเพิ่ม ทุนถ้าจะต้องสร้างโรงกลั่นใหม่ที่มีมูลค่าเป็น 100,000 ล้าน
อีกหนึ่ง ธุรกิจที่อาจจะเติบโตได้เรื่อยๆ คือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมือง, บ่อน้ำมัน ซึ่งสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากการการที่ไปหาบ่อ, แหล่งใหม่ๆ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำกิจการรับเหมาก่อสร้างนั้น พอหมด project ก็จำเป็นที่จะต้องไปหา project ใหม่ เริ่มใหม่อยู่ตลอดเวลาทำให้การที่บริษัทจะโตในระยะยาวค่อนข้างลำบาก

4.Criteria นึงสำหรับการเลือกบริษัท long term growth ที่จะลงทุนนั้นคือการที่พยายามหาจุดแข็งที่บริษัทอื่นไม่มี ซึ่งถ้าเราเองยังนึกจุดแข็งไม่ออกก็ยังไม่ควรสนใจที่จะลงทุนในบริษัทนั้น

สำหรับ ตัวอย่างจุดแข็งของบริษัท เช่น PS สร้างบ้านแบบเดียวกันแต่สามารถทำราคาได้ถูกกว่าบริษัทอื่นประมาณ 15% (Cost leadership) เพราะมี Technology ในการก่อสร้าง ทำให้สามารถสร้างเสร็จได้ไว ควบคุมต้นทุนบริษัทได้ดี ซึ่งการที่บริษัทสามารถตั้งราคาขายของบ้านได้ถูกกว่าบริษัทอื่นก็ยิ่งเป็น ผลดีต่อความสามารถในการขายบ้านของบริษัทเพราะผู้บริโภคมีโอกาสกู้ซื้อบ้าน ผ่านได้เพิ่มขึ้น

5.อีก Critreria นึงในการเลือกบริษัทที่ long term growth คือการมอง Megatrend เช่นการมองว่าบริษัทไหนที่ผู้ใช้มีโอกาสเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เช่นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน การที่ประเทศจีนและอินเดียนั้นมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงนั้นทำให้มีคน ที่ขยับฐานะจากชนชั้นล่างขึ้นสู่ชนชั้นกลางมากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้มีคนสามารถซื้อรถขับมากขึ้น ทำให้เกิดการใช้พลังงานที่มากขึ้น
นอกจากนี้นั้นอีกธุรกิจนึงที่อาจ เกี่ยวข้องกับ Megatrend คือเรื่องของการท่องเที่ยว เพราะโลกไร้พรมแดนในปัจจุบันนั้นทำให้ค่าเครื่องบินนั้นถูกลง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเดินทางที่มากขึ้น
แต่ก็อาจจะมีจุดอ่อนสำหรับการ มองเพียงแค่ Megatrend เพียงอย่างเดียวเพราะบางธุรกิจนั้นแม้ demand จะเพิ่มขึ้นจริงแต่ก็อาจจะมาพร้อมกับการแข่งขันที่สูง เช่นธุรกิจ Internet ISP (ในอดีต) เพราะมีการแข่งขันที่สูงมาก เนื่องจากในช่วงนั้นมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานเยอะมากทำให้เกิดการแข่งขันที่ ราคาเพียงอย่างเดียว สุดท้ายก็มีบริษัทจำนวนมากที่ล้มละลายไป หรืออีกตัวอย่างนึงคือธุรกิจการท่องเที่ยวนั้นแม้ demand อาจจะเพิ่มขึ้นแต่ก็อาจจะประสบปัญหาในแง่บริษัทสายการบินเองก็มีการแข่งขัน ที่สูงมาก รวมไปถึงยังอาจจะประสบปัญหาจากปัจจัยอย่างอื่นเช่นปัญหาน้ำมันราคาแพงเป็น ต้น หรืออย่างธุรกิจโรงแรมเองนั้นก็อาจจะประสบปัญหาการแข่งขันที่สูงมากเนื่อง จากมีการเปิดใหม่ของโรงแรมเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน

6.สำหรับบริษัท ที่อาจจะมองว่าเป็น monopoly (ผูกขาด) ในบ้านเรานั้นก็อาจจะมีเช่นธุรกิจสนามบิน เพียงแต่ก็อาจจะมีปัญหาในแง่การบริหารจัดการองค์กรที่ค่อนข้างจะอึดอัด
หรือ อย่างอุตสาหกรรมโรงพยาบาลในบ้านเรานั้นก็ถือว่า monopoly ในระดับนึง ซึ่งอุตสาหกรรมนี้นั้นมองว่าการเกิดขึ้นใหม่ของโรงพยาบาลเองนั้นถือว่าเกิด ขึ้นค่อนข้างยากเนื่องจาก ถ้าตั้งโรงพยาบาลใหม่นั้นอาจจะต้องยอมขาดทุนเป็นระยะเวลาเป็น 10 ปี เพราะในช่วงแรกฐานลูกค้าของโรงพยาบาลยังไม่มากพอที่ทำให้เกิดการคุ้มทุน จึงทำให้ธุรกิจนี้นั้นส่วนใหญ่ใช้ Strategy ซื้อโรงพยาบาลมากกว่าการตั้งโรงพยาบาลใหม่ เพียงแต่ในปัจจุบันเองนั้นก็เหลือกลุ่มโรงพยาบาลที่จะให้ซื้อน้อยมาก ซึ่งสำหรับโรงพยาบาลนั้นนอกจากจะโตจากการซื้อกิจการก็อาจจะสามารถโตแบบ Organic growth คือการที่มีลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการขึ้นค่ารักษาบริการของทางโรงพยาบาล

7.สำหรับการมอง Population trend นั้นในประเทศไทยเองอาจจะไม่ค่อย work สักเท่าไรเนื่องจากโดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นค่อนข้างน้อย (ประมาณ 1%)

8.ในระยะหลังๆ ธุรกิจที่จะโตในบ้านเรานั้น ส่วนใหญ่จะโตมาจากการกิน market share ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจ modern trade เองนั้นสามารถโต 15% ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาที่นานจากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนจากการเดินซื้อของ ในตลาดสดมาเป็นซื้อที่ห้างแทน

9.สำหรับนักลงทุนนั้น ปัจจัยนึงที่ควรจะมองคือผู้บริหารของบริษัท โดยสังเกตจากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารในช่วงอดีต แล้วเราก็มาดูว่าผู้บริหารสามารถบริหารบริษัทได้ตามที่เคยให้สัมภาษณ์หรือ ไม่ อาจจะต้องดูหลายๆปี รวมไปถึงมองว่าการที่ไม่สามารถทำตามที่เคยให้สัมภาษณ์นั้นเป็นเรื่องสุด วิสัยหรือไม่

10.หนังสือแนะนำของ P’สุมาอี้ คือ Beating the street ของ Peter Lynch และตีแตกของท่านอาจารย์นิเวศน์ (เล่มหลังนั้นอ่านแล้วอาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่อ่าน)
ซึ่งการที่ เราเคยอ่านหนังสือในช่วงแรกๆของการลงทุน แล้วกลับมาอ่านใหม่ในอีก 2-3 ปีต่อมานั้นเราเองอาจจะเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้น รวมไปถึงได้อะไรใหม่ๆจากการอ่านหนังสือเล่มนั้นอีกรอบครับ

11.อาชีพ นักลงทุนนั้นจริงๆแล้ว % ประสบความสำเร็จเองนั้นก็มี % ที่น้อยใกล้เคียงกับอาชีพอื่นๆ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะประสบความสำเร็จเราเองก็ต้องมีความพยายามแน่วแน่จริง จัง โดยดูจากข้อมูลของลูกค้าของ broker พบว่าในนักลงทุน 100 คนนั้นมีคนที่ไม่ขาดทุนเพียงแค่ 35 คน และสำหรับนักลงทุนเพียงแค่ไม่ถึง 10 คน ที่สามารถลงทุนจนสามารถเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง

12.สำหรับการลงทุน นั้น P’สุมาอี้เองนั้นก็ไม่ได้มองว่าทุกกรณีต้องมาทำ DCF เนื่องจากการที่จะทำ DCF เองนั้นต้องใช้ข้อมูลและตัวแปรที่ใช้เป็นจำนวนมาก

13.สำหรับ sale growth นั้นเราควรที่จะสนใจ sale growth ที่เกิดขึ้นจากปริมาณการขายที่มากขึ้นมากกว่า การที่ sale growth เนื่องจากราคาขายที่เพิ่มขึ้น (การที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการขายนั้น เราอาจจะต้องไปลองหาข้อมูลจากข่าวของบริษัทเพราะว่าข้อมูลนี้นั้นอาจจะไม่ ได้แสดงอยู่ในงบการเงิน)

14.สำหรับวิธีการง่ายๆอย่างนึงในการหาข่าว ของบริษัทนั้น คือ การใช้ internet ในการหาข้อมูลจาก google โดยเพียงแค่ลองพิมพ์ชื่อของบริษัท ชื่อผู้บริหาร ก็จะทำให้เราสามารถหาข้อมูลของบริษัทได้มากขึ้น

ปล.เนื่องจากกว่าผม จะเดินทางจากชลบุรีมาถึงงานก็ประมาณ 6 โมงกว่าแล้ว ทำให้ผมไม่ได้ฟังตั้งแต่ช่วงแรกๆครับ (ขออภัยที่อาจจะนำมา share ให้เพื่อนๆทราบได้เพียงแค่บางส่วนครับ)

สำหรับเพื่อนๆที่สนใจความรู้จาก P’สุมาอี้ สามารถเข้าไปอ่านความรู้ในการลงทุนเพิ่มเติมได้จาก http://dekisugi.net/

สุด ท้ายนี้ขอขอบคุณ P’สุมาอี้ มากๆครับสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาฝากเพื่อนๆนักลงทุนเสมอๆ และขอขอบคุณ web thaivi ด้วยครับสำหรับคลังแห่งความรู้ในการลงทุนที่ช่วยทำให้เกิดนักลงทุนที่มีความ รู้มากมาย รวมไปถึงขอขอบคุณตลาดหลักทรัพย์ที่มีสัมมนาการลงทุนดีๆให้ได้ไปเรียนรู้อยู่ ตลอดเวลาครับ

:bow:

อ้างอิง

[1]earthcu ,"สรุปความรู้ที่ได้จากงานเดินหมากลงทุนในหุ้นกับสุมาอี้ 25 มค." ,http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51092
ม.ค.

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความสัมพันธ์ของงบการแสเงินสดกับวงจรชีวิตของกิจการ

บทความสอนอ่านงบกระแสเงินสดเขียนโดยคุณ chatchai [1] แห่งเว็ปไทยวีไอ สอนอ่านงบการะแสดเงินสด และไปเชื่อมโยงให้เห็นภาพของวงจรชีวิตของกิจการครับ


งบกระแสเงินสดนั้นจะเป็นงบที่แสดงการได้รับเงินสดและการใช้จ่ายเงินสดของกิจการ

งบกระแสเงินสดนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามกิจกรรมต่างๆของกิจการ ประกอบด้วย

1. กิจกรรมดำเนินงาน จะเป็นรายการที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามปรกติของกิจการ ดังนั้นรายการนี้จะสามารถบอกเราได้ว่ากิจการนั้นดำเนินธุรกิจแล้วมีเงินสด รับมากกว่าจ่าย หรือว่าจ่ายมากกว่ารับ

2. กิจกรรมการลงทุน จะเป็นรายการที่เกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตรต่างๆ และรายการที่ขายสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภท

3. กิจกรรมเกี่ยวกับการเงิน ทั้งการเพิ่มทุนจดทะเบียน การกู้ยืม/ชำระหนี้เงินกู้ยืม การจ่ายเงินปันผล

ดังนั้นการวิเคราะห์งบกระแสเงินสดจะสามารถบอกเราได้ว่า สถานะของบริษัทนั้นอยู่ในประเภทใด

1. ถ้าบริษัทมีเงินสดรับจากกิจกรรมทางการเงิน เช่น การเพิ่มทุน การกู้ยืม และบริษัทมีเงินสดจ่ายในกิจกรรมการลงทุน แสดงว่าบริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การดำเนินงานยังไม่สามารถหาเงินสดได้เพียงพอในการขยายการลงทุนที่ยังคง มากอยู่

2. ถ้าบริษัทมีเงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงาน และมีเงินสดจ่ายในกิจกรรมการลงทุน แสดงว่าบริษัทอยู่ในสถานะการเติบโต ธุรกิจของบริษัทสามารถหาเงินสดได้แล้ว แต่ยังคงมีภาระที่จะขยายการลงทุนอยู่

3. ถ้าบริษัทมีเงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงาน และมีเงินสดจ่ายในกิจกรรมทางการเงิน เช่น ชำระหนี้เงินกู้ แสดงว่าบริษัทอยู่ในสถานะที่โตเต็มที่ ไม่มีภาระที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม

4. บริษัทจะมีเงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงาน และมีเงินสดจ่ายในกิจกรรมทางการเงิน คือ การจ่ายเงินปันผล แสดงว่าบริษัทอยู่ในสถานะ ห่านทองคำครับ คือบริษัทสามารถหาเงินสดจากการดำเนินงานได้ อีกทั้งยังไม่มีภาระการใช้เงิน ไม่ว่าจะเป็นการขยายการลงทุนหรือการชำระหนี้เงินกู้ บริษัทจึงมีเงินสดเหลือที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น

แล้วหุ้นที่เพื่อนๆลงทุนอยู่ในตอนนี้จัดอยู่ในประเภทไหนครับ

[1]chatchai ,งบกระแสเงินสดสามารถบอกวงจรชีวิตของบริษัท online : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=1096 

พัฒนาการของ Supply Chain Management

บทความของ อ. พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ครับจากหน้า facebook จดไว้กันลืมเหมือนเดิม

Supply Chain Management เป็นการบริหารธุรกิจแบบใหม่ ที่วิธีคิดและขอบเขตของการบริหารจัดการเริ่มฟักตัวและพัฒนา Concepts ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990s จุดเริ่มต้น SCM เกิดขึ้นกับบริษัทในซีกโลกตะวันตกที่มีปัญหาด้านซัพพลาย-ต้นทุนสินค้าตัวเองสูงสู้สินค้าจากประเทศอุตสาหกรรมใหม่จากเอเชียไม่ได้ กลยุทธ์ในขณะนั้นของบริษัทญี่ปุ่นและสี่เสือเอเชีย (เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์) จะอาศัยต้นทุนสินค้าที่ถูกกว่า โดยย้ายฐานผลิตมาในอาเซียน ช่วงเวลานั้นบริษัทและสินค้าของคนไทยได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิต ทำให้สามารถส่งสินค้าไปยังประ เทศอื่นๆมากขึ้นอย่างมาก แต่ก็เป็นสินค้า "Low Technology, Low Quality, Low Value Added, และ Labor Intensive ซะส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวกสิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ อาหารแปรรูปและสินค้ารับจ้างผลิตพวก OEMs...

สำหรับช่วงปี1990s ที่เรื่อง SCM เพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ บริษัทในซีกโลกตะวันตกกำลังสนใจกับเรื่อง Business Process Reengineering ของ Michael Hammer คำว่า"คิดใหม่ทำใหม่""คิดนอกกรอบ""Think out of box"หรือ"Breakthrough"เป็นแนวบริหารจัดการใหม่ในขณะนั้น บริษัทใหญ่ๆให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิธีบริหารจัดการ ที่จำเป็นจะต้อง Reengineering หรือ Change ขบวนการทำงาน หรือ Business Processes

ช่วง 1990s หลายๆบริษัทในฉีกโลกตะวันตกเริ่มสนใจวิธีการบริหารจัดการของบริษัทญี่ปุ่นที่ประสพความสำเร็จอย่างมากในขณะนั้น โดยเฉพาะบริษัท Toyota ในช่วง 1990s บริษัทตะวันตกเริ่มศึกษา Toyata System หรือ Just-in-time ของบริษัทญี่ปุ่นและตื่นตัวในเรื่อง Kaizen หรือ Total Quality Management

ขณะที่เวลานั้นในช่วงเดียวกัน บริษัทในญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง..แม้ว่าต้นทุนถูกลงเนื่องจากย้ายฐานมาอาเซียน แต่ต้นทุนโลจิสติกส์แพงขึ้นมาก ช่วง 1990s บริษัทญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกงและสิงคโปร์ เริ่มพัฒนาฟังก์ชันโลจิสติกส์ตามบริษัทตะวันตก พร้อมทั้งยกระดับสินค้าตนเองให้สูงขึ้น

การเริ่มต้นสนใจด้านซัพพลาย(Supply Side)ที่ขาดประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขัน เป็นจุดเริ่มต้นของ Supply Chain Management ในช่วงทศวรรษ1990s ด้านซัพพลายใน SCM ณ.ขณะนั้นได้แก่ การจัดหาวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ และการจ้างบริษัทภายนอกผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนให้แทนทำเอง ทั้งในและนอกประเทศ คำว่า Procurement, Sourcing, หรือ Supply Management เกิดขึ้นในช่วงนั้น ส่วน Supply Chain Management เพิ่งจะเกิดขึ้นในวงวิชาการในมหาลัยใน USA

Conceptsในเรื่อง SCM ในช่วงฟักตัวหรือเริ่มต้นขณะนั้น จึงเน้นไปที่การตอบสนองดีมานด์ด้วยซัพพลายที่มีประสิทธิภาพ "Efficient Response" Efficient Response Concepts จึงเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อพูดถึง SCM โดยหัวใจในการบริหารจะเน้น การลดต้นทุน,เวลา,สต็อกในการตอบสนองลูกค้า Efficient Response Concepts จึงเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อพูดถึง SCM โดยหัวใจในการบริหารจะเน้น การลดต้นทุน,เวลา,สต็อกในการตอบสนองลูกค้า

การลดต้นทุน,เวลา,และสต็อกในด้านซัพพลายที่สัมพันธ์กับฟังก์ชันการจัดหา ฟังก์ชันการผลิตและฟังก์ชันโลจิสติกส์ จึงจำเป็นจะต้องบริหารจัดการร่วมกัน ขณะนั้น 1990s,การทำ Efficient Response ก็ส่งผลให้เกิด Best Practicesใหม่ๆเกิดขึ้น..บริษัทต่างๆอาศัยความสามารถและศักยภาพของซัพพลายเออร์แข่งขันตัวอย่าง Best Practices ขณะนั้นที่คำว่า SCM ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก ได้แก่ Just-in-Time, VMI, Crossdock, Quick Response, Lean, DC เป็นต้น

ตย.บริษัทรถยนต์อาศัยซัพพลายเออร์ช่วยทำ JIT, ห้างสรรพสินค้า JC Penny อาศัยซัพพลายเออร์ช่วยทำ VMI, Walmart ทำ DC/Crossdock ร่วมกับซัพพลายเออร์

ตย. Dell computer อาศัยซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนทั้งหมด โดยตัวเองตั้ง DC และใช้ระบบ Assembly-to-Order ชนะ HP,IBM ซึ่งทำก่อน SCM เป็นที่ยอมรับ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จุดกำเนิดเกิดขึ้นของ SCM เป็นเรื่องของ การแข่งขันที่มุ่งไปในองคาพยพด้านซัพพลาย ที่บูรณาการฟังก์ชันด้านซัพพลายเข้าด้วยกัน ฟังก์ชันซัพพลายหลักๆก็ได้แก่ Procurement, Manufacturing,และ Logistics นั้นเอง นอกจากนี้ SCM ก็ยังเกี่ยวข้องกับการดำเนินการ่วมกับซัพพลายเออร์ ปลายทศวรรษที่ 1990s จึงเห็นพ้องกับชื่อ Supply Chain Management เพราะประเด็นหลักเป็นเรื่อง การบริหารฟังก์ชันธุรกิจที่สัมพันธ์กันในด้านซัพพลาย

อย่างไรก็ตามแม้ว่า SCM จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในช่วงเริ่มต้นทศวรรษที่ 2000 ก็เกิดข้อถกเถียงกันว่า "ขอบเขตกว้าง และไม่มีทฤษฎีรองรับ"

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สรุปความรู้จากการสัมมนาสอนเล่นหุ้นแบบ Super Exclusive

เป็นบทความที่เขียนสรุปจากคุณ earthcu  จาก thaivi ครับ ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51141

เป็นการสัมนาสัมมนา Super Exclusive ที่จัดขึ้นโดยคุณ hongvalue โดยมีวิทยากรหลัก คือ P’chinn, P’moomoo, K.hongvalue เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วน เผื่ออาจจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นบ้างครับ (ผมขออนุญาตอธิบายตามความเข้าใจของผมครับ ถ้าผมเข้าใจในประเด็นที่วิทยากรสื่อสารคาดเคลื่อน หรือจดในส่วนเนื้อหาไม่ถูกต้อง รบกวนวิทยากรทั้ง 3 ท่านช่วยแนะนำด้วยครับ รวมไปถึงพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปร่วมงานในวันดังกล่าวช่วยแนะนำผมด้วยครับ)

ส่วนที่ 1 P’chinn share ความรู้และประสบการณ์การลงทุน
1.สิ่ง ที่สำคัญอย่างนึงสำหรับผู้ที่อยากประสบความสำเร็จด้านการเงินคือ การเขียนเป้าหมายให้ชัดเจน แม้ว่าบางทีเป้าหมายเองนั้นอาจจะดูว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตาม และพยายามเขียนแผนเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริง โดยยกตัวอย่าง P’chinn เองก็จะมีการทำ file excel เพื่อ simulate ว่าในช่วงอายุเท่าไรจะมีมูลค่า port การลงทุนขนาดไหน รวมไปถึงเพื่อเปรียบเทียบว่าเทียบกับเป้าหมายเรายัง OK ไหม แล้วก็พยายามดูเป้าหมายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดการซึมซับเข้าไปในจิตใจ ซึ่งจะทำให้เราเองพยายามคิดขวนขวายเพื่อจะให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายดัง กล่าว

2.คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น แทบทุกคนจะเป็นคนที่พยายามลงทุนกับวิชาความรู้เป็นหลัก
เรา ควรที่จะเข้ามาตลาดหุ้นโดยที่ไม่ควรที่จะคำนึงถึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่เราควรที่จะนึกถึงความรู้เป็นหลักก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าความคิดมันใช่ เงินก็จะตามมาเอง

3.อธิบาย Case study เกี่ยวกับหุ้น PSL ในอดีต มีอยู่ช่วงเวลานึงนั้นเศรษฐกิจของจีนกำลังโต ทำให้เรือขาดแคลน จึงทำให้ค่าระวางเรือเองนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งช่วงนั้น p’chinn เองก็นำค่าระวางเรือนั้นมาทำ forecase earning เพื่อคำนวณหามูลค่าหุ้น (โดยช่วงที่ p’chinn ลงทุนช่วงนั้นมองว่า Dividend ที่คำนวณได้มากกว่า 10%) ซึ่งหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตามกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้น

4.การ ลงทุนนั้น เราไม่ควรที่จะเชื่อใครง่ายๆ การที่จะเชื่ออะไรสักอย่างเราควรต้องพิสูจน์ก่อน รวมไปถึงเราไม่ควรมี bias เกี่ยวกับหุ้นบางตัวเพราะเราอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้กำไรจากหุ้นตัวนั้น

5.อธิบาย Case study เกี่ยวกับหุ้น JAS ในอดีต ช่วงนั้น JAS เอง Market cap ประมาณ 8,000 ล้านบาท แต่มีกระแสเงินสดประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่า JAS เองค่อนข้างถูกมากในช่วงนั้น เปรียบเปรยเหมือนกับการที่เราซื้อตู้ ATM ในราคา 10,000 ล้านบาท แล้วตู้ ATM เองสามารถผลิตเงินสดให้แก่เราได้ปีละ 2000 ล้านบาท ซึ่งถ้าซื้อตู้ ATM นี้เพียงแค่ 5 ปี เราก็สามารถคืนทุนได้

6.ปัจจัย นึงที่ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้คือการที่บริษัทมีประเด็นหรือมีตัวเร่ง catalyst ยกตัวอย่างเช่นช่วงแรกๆ นั้น JAS ถือว่าเป็นหุ้นที่ถูกและดี เพียงแต่ยังไม่มีประเด็นอะไรที่จะเป็นตัวผลักดันราคาของหุ้น จนกระทั่งการที่บริษัทดึง 3 broadband มาจาก TT&T ได้รวมไปถึง การที่บริษัทเองนั้นมีกระแสเงินสดที่ดีมาก แต่ช่วงนั้นเองก็ยังไม่มีการปันผล เพราะบริษัทเองนั้นยังมีขาดทุนสะสมอยู่ จึงทำให้มีกระแสเรียกร้องจากผู้ถือหุ้นเพื่อให้บริษัทเองทำการลด par เพื่อล้างการขาดทุนสะสมจนกระทั่งทำให้บริษัทเองสามารถปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมไปถึงประเด็นเรื่องการขาย TT&T ซึ่งเป็นตัวถ่วงผลการดำเนินงานของบริษัท (โดยส่วนตัวผมมองว่าสำหรับหัวข้อนี้เพื่อนๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือกุญแจ 5 ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในบทที่ 4 : การระบุถึงตัวเร่ง Catalyst และประสิทธิภาพของตัวเร่ง ครับ)

7.เวลามองอะไร ควรจะมองไปให้เห็นภาพที่เป็นจริงของบริษัท อย่าไปติดกับดักในภาพหลอกของงบการเงิน เช่น JAS การที่บริษัทขาดทุนนั้นเกิดจากการที่ Write off หุ้น TT&T ทำให้กำไรน้อย ซึ่งถ้าปีต่อมาไม่เกิดเหตุการณ์นี้ก็จะทำให้กำไรของบริษัทนั้นโตขึ้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วกำไรของบริษัทนั้นดีอยู่แล้ว
หรืออย่างกรณีการมองหนี้ ของบริษัท JAS ในอดีตนั้นเราควรจะมองให้เห็นความจริงว่าหนี้ก้อนไหนที่บริษัทแม่ต้องรับผิด ชอบ หนี้ก่อนไหนที่บริษัทแม่ไม่ต้องรับผิดชอบ

8.Case Study หุ้น DTAC ช่วงต้นปี 2554 P’chinn ทำการหาข้อมูลบริษัทที่ 1.)Dividend yield ดีๆ 2.)เป็นบริษัทที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งก็เจออยู่ 2 อุตสาหกรรม คือ ไฟฟ้า และสื่อสาร หลังจากทำการศึกษาก็เลือก DTAC เนื่องจากมองไปที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท รวมไปถึงการมองดูว่าคนรอบข้างเริ่มหันมาใช้ smart phone กันมากขึ้น ตอนนั้น ARPU (Average revenue per user) อยู่ที่ 200 กว่าบาท ซึ่งมีโอกาสปรับตัวได้เพิ่มขึ้นจากกระแสการเล่น internet (ปันผลช่วงนั้นประมาณ 7%) หลังจากทำ forecast แล้วมองว่ามีโอกาสที่ DTAC จะปันผลถึง 10% ณ ราคาตอนนั้น
ส่วนสาเหตุที่ไม่เลือก ADVANC ในช่วงนั้นเนื่องจากมองว่า ADVANC มีการรีดเงินสดโดยการปันผลออกไปเยอะแล้วในขณะที่ DTAC เองมีกำไรสะสมและเงินสดอยู่ในบริษัทเป็นจำนวนมากซึ่งไม่สมเหตุสมผลเท่าไร จึงคาดเดาว่าอาจจะมีปันผลพิเศษ จากกระแสเงินสดที่เหลือมากกว่าจะทำ 3G

9.สิ่ง หนึ่งที่นักลงทุนควรมองให้ละเอียดก่อนการลงทุน คือการพิจารณาเรื่องว่าเราจะปลอดภัยไหมจากการลงทุนนั้นๆโดยมอง Downside risk ของบริษัทให้ดีก่อนการลงทุน นอกจากนี้แล้วโดยปกติ P’chinn เองจะลงทุนในโอกาสที่มั่นใจ 100% (หวดทุกวงสวิง ที่มั่นใจเท่านั้น) หากโอกาสนั้นเป็นเพียงแค่ 50-50 ก็จะไม่พิจารณาลงทุน รวมไปถึงถ้าเราไม่เข้าใจในตัวกิจการที่มากพอ ก็จะไม่ลงทุนในบริษัทนั้นๆ

10.ประเด็น นึงที่ P’chinn เองมักจะใช้ข้อมูลนี้ในการทำ forecast ยอดขายของบริษัท คือการใช้ข้อมูล Demographic โครงสร้างประชากร เพื่อนำข้อมูลนี้มาใช้ในการคำนวณว่าต่อไปผู้บริโภคกลุ่มไหน จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น (เช่นประชากรกลุ่ม Generation X,Y รวมไปถึงมองว่าประชากรกลุ่มดังกล่าวเองมีความสนใจในอะไรบ้าง เช่น Gen Y เองอาจจะสนใจใน Technology มากกว่าประชากรที่มีอายุสูงๆ)

11.สิ่ง หนึ่งที่นักลงทุนควรที่จะต้องระวัง คือการที่บางคนนั้นใช้วิธีมองว่าที่ผ่านมากำไรของบริษัทโตขึ้นกี่ % แล้วคิดว่าในปีต่อไปบริษัทเองจะกำไรโตเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนเองนั้นควรที่จะทำความเข้าใจในที่มากำไรของบริษัทนั้นๆก่อน ถึงจะสามารถคาดการณ์การเติบโตของกำไรของบริษัทได้ใกล้เคียงขึ้น

12.การ จะเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นนั้น เราควรที่จะฝึกคิดวิเคราะห์จากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเรา เช่นการอ่านข่าวนั้นเราควรที่จะคิดตามว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นๆจะส่งผลให้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วบางกรณีอาจเป็นเหตุการณ์ที่จะส่งผลทำให้กำไรของบริษัทในตลาด หลักทรัพย์สามารถเติบโตได้

13.พึงระวังบริษัทที่มีลูกค้าเป็นลูกค้า รายใหญ่ เพราะยิ่งธุรกิจขยายตัวอาจจำเป็นที่ต้องให้ supplier credit เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนึงอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์บริษัทที่เป็นลูกค้านั้นเบี้ยวหนี้ บริษัทที่เราไปลงทุนทำให้เกิดความเสียหายหนักได้ ซึ่งจะค่อนข้างแตกต่างกับบริษัทที่ลูกค้าเป็นผู้บริโภครายย่อย เช่นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะต่อให้ลูกค้าบางคนไม่ยอมจ่ายค่าบริการ กำไรของบริษัทเองก็แทบไม่ได้กระทบกระเทือน

14.สำหรับผู้ที่อยากประสบ ความสำเร็จทางด้านการเงินนั้น บางครั้งเราอาจจำเป็นต้องเอาความสุขของเราไว้ทีหลัง (อาจจะเป็นช่วงแรกๆของการลงทุน) โดยพยายามที่จะควบคุมรายจ่ายของตัวเรา เพื่อให้เหลือกระแสเงินสดที่จะสามารถนำมาลงทุนได้

15.นักลงทุนเองไม่ ควรที่จะโลภ เพราะการที่เราไม่โลภก็จะทำให้เราลงทุนด้วยความไม่รีบร้อน ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เราเองก็จะลงทุนด้วยความไม่เสี่ยง

16.อย่าเชื่อว่าใครจะพูดอะไร คนที่เก่งกว่าเรานั้นมองยังไง
อย่าเชื่อว่าหุ้นตัวไหนดี หุ้นตัวไหนปั่น
ถ้าสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง มันคือโอกาสของคุณ

17.ความ เสี่ยงคือ การที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้นวิธีแก้ในประเด็นนี้คือการที่ทำให้มันรู้ โดยศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเราให้มากที่สุด เพื่อปิดความเสี่ยง

18.ผู้บริหารและเจ้าของ เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้น โดยบางครั้ง ถ้าเรารู้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นของผู้บริหารและเจ้าของเป็นยังไง ก็อาจจะทำให้เรารู้แรงจูงใจของพวกเขาในในบริษัท โดยถ้าผู้บริหารถือหุ้นในสัดส่วนที่เยอะก็มีโอกาสที่จะมีแรงจูงใจสูง

19.คนที่จะลงทุนโดยใช้ margin นั้น สิ่งที่สำคัญมากคือคุณควรที่จะมี Exit Plan ไม่งั้นคุณอาจจะพังพินาศเพราะการใช้ margin

20.พึง ระวังการใช้กำไรสุทธิเพียง อย่างเดียวในการวิเคราะห์หุ้น เพราะบางบริษัทอาจจะมีกำไรสุทธิเป็นบวก แต่ขาดกระแสเงินสดในการดำเนินงานทำให้บริษัทอาจจะล้มละลายได้

21.หนังสือ เล่มนึงที่ P’chinn อ่านแล้วมีความประทับใจนั้นคือหนังสือชื่อ good luck เป็นหนังสือที่คุณอ่านแล้วอาจจะได้เรียนรู้วิธีการสร้างโชคดีด้วยตัวคุณเอง (หนังสือเล่มเล็กๆสีฟ้าๆ เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชื่นชอบเช่นเดียวกันครับ)

22. ถ้าคุณอยากจะหาหุ้นตีแตกนั้น เราควรที่จะทำอะไรที่ละเอียดมากขึ้นไปอีก ซึ่งจะเป็นการปิดความเสี่ยงต่างๆ ทำให้เราสามารถที่จะถือหุ้นอย่างสบายใจ เช่นศึกษาผู้ถือหุ้นใหญ่, พรบ, กฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง (และเราควรที่จะต้องเขียนเป้าหมายว่าเราหวังอะไรจากบริษัทนั้น เช่น Dividend เองจะเพิ่มขึ้นเท่าไร แล้วเอาเป้าหมายนั้นมาดูในเวลาที่มีความผันผวนของราคาหุ้นของบริษัทสูงๆ เพื่อป้องกันการขายหุ้นนั้นเพราะความตกใจกลัว)

23.สำหรับการทำ valuation ของหุ้นนั้น ถ้าเป็นไปได้เราควรที่จะลอง simulate เหตุการณ์หลายๆกรณี เช่นการ valuation หุ้นบริษัทสื่อสารนั้น ถ้าประมูล 3G ปี 2555,2556,2557 จะส่งผลยังไง หรือถ้าไม่มีการประมูล 3G เกิดขึ้น มูลค่าหุ้นของบริษัทเองนั้นยังคุ้มที่จะลงทุนอยู่รึไม่

24.สำหรับ step การเลือกหุ้นมีดังนี้
หา Idea การลงทุน เริ่มหาข้อมูลบริษัท  ทำ forecast งบการเงิน จากข้อมูล 56-1 หรือการสอบถาม IR  ทำความเข้าใจบริษัท เพื่อปิดความเสี่ยงทั้งหมด หาคนตรวจสอบ idea การลงทุนคุณ ทำการตรวจแก้ model การลงทุนจากข้อมูลใหม่ที่ได้รับ  เลือกลงทุนในบริษัท


สำหรับใน ส่วนที่ 2 ของ P’moomoo (P’หมง) share ประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้ Margin รวมไปถึงการกู้เงินเพื่อมาซื้อหุ้นในอดีตนั้น ผมขออนุญาตนำกระทู้ที่ P’moomoo เคย post มา share เพื่อนๆ อีกรอบครับ น่าจะอธิบายได้เห็นภาพชัดเจนกว่าครับ (ขอบพระคุณ P’moomoo เป็นอย่างสูงครับ)
ที่มา viewtopic.php?f=1&t=43059&p=646260#p646260

“ของ ผมเริ่มเข้าตลาดก่อน subprime 1 ปีครับ เข้ามาเปิดดูในเวป thaivi ครับ ศึกษาข้อมูลย้อนหลังได้อ่านบทความและอดีตเห็น 3 ทหารเสือชุดแรกขึ้นเป็นหลายเท่าครับ ต่อมาหลังจากสามทหารเสือชุดแรก ผมก็มาได้อ่านเจอสามทหารเสือชุดที่สองครับ ผมเลือก ptl ถ้าจำไม่ผิดผมมาเริ่มซื้อตอนเริ่มแพงแล้วครับ ราคาประมาณ 6 บาทและเริ่มเก็บเพิ่มไปเรื่อย ๆ ครับ เก็บไปจนถึง 7 บาทกว่าครับ เก็บจนเงินหมด ไม่ซื้อตัวอื่นเลยครับ (นิสัยเสียมาก ๆ ครับ) ตอนนั้นทุกคนในเวปมองกันว่าน่าจะได้เห็นสองหลักครับ ทุกอย่างดูดีไปหมดครับ ทำไงดีตังค์หมดก็เปิดมาร์จิ้นเลยสิครับ ให้ MM 50% ด้วยครับ ยิ้มเลยครับ อัดเต็มพอร์ตซื้อไปจนถึง 7.5 บาทครับก่อนประกาศผลประกอบการ 1 วันครับ ประกาศเสร็จผมยังไม่รู้เลยครับ ว่ามันแย่ลงเห็นว่ากำไรน้อยลงนิดหน่อยไตรมาสหน้าจะดีขึ้น เปิดเช้ามาที่ 7.2 ครับหลังจากนั้นก็ลงมาตลอดครับ ไม่เป็นไรเราไม่ขาย ธุรกิจยังโอเค ไม่เป็นไรถือได้ (ลืมบอกครับว่าตอนนั้นผมเป็นบ้าขนาดเอาวงเงิน OD มาซื้อด้วยครับ เพื่อน ๆ ที่เคยคุยด้วยก็เตือนนะครับว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง ผมก็หลงตัวเองบอกว่ายังไงก็ไม่ต่ำกว่า 5.8 อยู่แล้ว เพราะถ้าต่ำกว่าจะโดน Call ครับ ถือได้ปีเศษเกิด subprime หุ้นลงอย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน โดน call แน่ยังมั่นใจอีก เอาที่ดินที่มีไปจำนองแบงค์แบบเร็วมาซื้อหุ้นเพิ่มครับ เพราะเห็นว่าแค่ 5 บาทกว่าถูกจะแย่ซื้อเสร็จยังโอนเข้าไปค้ำประกันได้ 2/3 ของเงินสดอีกแนะ เรื่องอะไรหุ้นถูกขนาดนี้จะเอาไปใช้หนี้ สู้ดีซื้อหู้นดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็ซื้อตลอดทางครับ ยิ่งซื้อยิ่งลง ตังค์หมดเอาตึกที่ร้านไปจำอีก ทำเหมือนเดิมครับเพราะไม่คิดว่าขนาด 4 บาทกว่าจะถูกขนาดนี้ ใครขายมาเนี่ยโง่จัง เราฉลาดจัง เป็นไงหล่ะครับ เหลือสามบาทกว่า เอารถสามคันไปจำแบบไฟแนนซ์นอกครับ ดอกแพงกว่าแบบในระบบเท่าตัวแต่ได้เงินภายในวัน แต่ต้องจอดรถกับเค้าไว้เลยครับ ลืมบอกไปผมเปิดร้านขายคอมตอนนั้นก็ดึงเงินจากหน้าร้านซื้อหุ้นเพิ่มทุกวัน เพื่อที่จะโอนหุ้นเข้าครับ สิ่งที่ได้ประสบการณ์คือยิ่งโอนหุ้นเข้าค้ำ เวลาหุ้นยิ่งลงตัวเงินที่โดน Call ยิ่งต้องจ่ายเพิ่มขึ้นครับ เพราะหุ้นที่โอนเข้าไปค้ำมูลค่าลดลงครับ ตอนนั้นผมเจรจาหยุดจ่ายเจ้าหนี้การค้าทุกคนเลยครับ เป็นเวลาสองเดือน ยอมจ่ายดอกเบี้ยแต่ไม่หนี้นะครับ ผมโทรหาเจ้าหนี้ทุกคนแต่บอกไม่ได้ว่าเสียหุ้นครับ จนกระทั่งลงไปเหลือ 2.88 ครับราคานี้จำได้ดีเพราะผมจำนำและขายทุกอย่างเท่าที่ขายได้หมดแล้ว ผมทำได้สองทางครับ จะไล่ราคาหุ้นกลับเพื่อให้ไม่ต้องโดน force sell หรือจะขาย ผมตัดสินใจไล่ราคากลับครับ เพราะวอลุ่มบางครับ ถ้าผมขายราคาลงต่อก็โดน force sell อยู่ดีครับ ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ สมมติเริ่มต้นผมมี 100 บาทกู้มาร์จิ้น 100 บาท วันที่ราคาเหลือ 2.88 เงินผมเหลือแค่ 8 บาทครับ เพราะผมซื้อหุ้นแล้วโอนเข้าค้ำแทนที่จะใช้หนี้ตลอดทางขาลง ผมตัดสินใจผิดมหันต์ครับ เพราะไม่คิดว่าหุ้นจะลงได้ลึกขนาดนี้ บริษัทก็ดี ไม่ได้แย่ลง แต่ลืมนึกว่าตอนนั้นทุกคนต้องขาย บ้างก็โดน force ถ้าเงินใส่ไม่ได้ วันนั้นผมเลยตัดสินใจไล่ราคากลับครับ วัดดวงครั้งสุดท้าย จนราคาไปปิดประมาณ 3 บาทนิด ๆ ผมรอด force ครับ แต่ผมมีเวลา 5 วันในการหาเงินมาใส่ เพราะโดน call ครับ และมีเวลา 3 วันที่จะมาจ่ายค่าหุ้นที่ไล่ราคาครับ เพื่อน ๆ คงงงว่าทำไมผมไม่ตัดสินใจขายเพราะถ้าขาย ณ ตอนนั้น ราคาลดผมก็โดน force อยู่ดีครับ ยิ่งขายยิ่งแย่ดู่แล้วถ้าตอนนั้นหุ้นหมดแต่หนี้มาร์จิ้นหมดผมก็ยอมครับ แต่ดูแล้วถ้าโดน force หมดผมคงติดลบอีกบาน ต้องหาเงินใช้หนี้อีกทั้งชีวิตครับ สรุปว่าหาเงินจ่ายตลอด 2 เดือนครับ หยุดจ่ายเจ้าหนี้ จำนำและขายทุกอย่าง ขนาดทองหมั้นแม่ผมรู้ยังเอาทองของแฟนไปไว้ที่แบงค์กลัวผมเอาไปขายเลยครับ ผมโชคดีที่แฟนไม่ว่าอะไรซักคำ ไม่ด่าและช่วยเป็นกำลังใจให้ครับ หลังจากไล่กลับมาสามบาทเศษวันนั้น หุ้นก็ค่อย ๆ ปรับขึ้นวันละนิดครับ ผ่านไป 5 วันราคาก็ขึ้นมาเกินจาก call ครับ
ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นบท เรียนสอนให้รู้ว่าอย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป อย่าโลภ อย่าลงทุนเกินตัว ถ้าผมกินเงินเดือนป่านนี้คงหมดตัวแล้วครับ ดีแต่ว่าค้าขายยังดึงเงินหน้าร้านมาจ่ายได้ สมมติว่าถ้าหุ้นฟื้นช้ากว่านี้อีกแค่สองวันหรือมีคนโดน force ลงมาอีกตอนนี้ผมคงเป็นคนล้มละลายแล้วครับ ขอเป็นประสบการณ์ให้คนที่ได้กำไร ณ ตอนนี้ระวังเรื่องมาร์จิ้นด้วยนะครับ อันตรายถึงชีวิตครับ และอย่าใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียวครับ เพราะเวลาหุ้นลงสภาพคล่องหายขายไม่ได้ อยากขายก็ขายไม่ได้ครับ ตอนซื้อซื้อเยอะก็ต้องซื้อแพงอีกไม่มีอะไรดีเลยครับ ผมถือว่าผมยังโชคดีนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่ารอบหน้าจะโชคดีแบบนี้อีกหรือไม่ หลังจากรอบนี้ผมตั้งใจจะเปลี่ยนทั้งเรื่องมาร์จิ้น เรื่องซื้อหุ้นตัวเดียว เรื่องมั่นใจในตัวเอง แล้วครับ”

โดยสรุปของ p’moomoo คือ
1.)ไม่ต้องรีบรวย ถ้ายังไม่เคยเจอวิกฤติในชีวิต

2.)การใช้ margin นั้นจะทำให้คุณจนลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณเลือกหุ้นผิดตัว

3.)การ ใช้ margin แล้วคุณลงทุนหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวนั้น ถ้าหุ้นเองมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องแล้วเกิดวิกฤตินั้นจะทำให้น่ากลัวมาก รวมไปถึงคุณเองอาจจะไม่สามารถที่จะ switch port ได้

4.)การที่ราคาหุ้นยิ่งลง แล้วเราจะยิ่งขายนั้น เป็นเรื่องที่ยากในการทำใจของนักลงทุนทั่วไป


สำหรับส่วนที่ 3 นั้น K.hongvalue share ความรู้มีรายละเอียดบางส่วนดังนี้ครับ

1.ข้อควรที่จะต้องสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการใช้ margin
-Business ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจควรจะต้องต่ำ
-Financial Risk ความเสี่ยงทางด้านการเงินของบริษัทเองควรจะต้องต่ำ เช่นเดียวกัน
-Market Risk ซึ่งนักลงทุนหลายๆคนที่ไม่เคยผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเองอาจจะไม่ได้สนใจใน ประเด็นนี้ ซึ่งจริงๆแล้วการที่มีความไม่แน่นอนตรงนี้นั้นอาจจะทำให้หลายๆท่านที่ไม่ได้ คำนึงถึงจุดนี้อาจจะล้มละลายได้ครับ

2.K.hongvalue อธิบายเกี่ยวกับแง่คิดในการใช้ชีวิตว่า เรานั้นควรจะมองหาแง่ดีๆของคนที่ประสบความสำเร็จเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับตัว เราเอง เพื่อที่จะทำให้เราได้พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

3.Criteria ที่สำคัญสำหรับการเลือกหุ้น Super Stock มีดังนี้ครับ
-Market Share
-Market Growth
-Profit Margin
โดย มองว่าบริษัทเองควรอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต และควรที่จะต้องมี net margin ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยยกตัวอย่าง LH (ในอดีต) ใช้นโยบายสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย ในช่วงที่หลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งช่วงนั้นเองผู้บริโภคเป็นจำนวนมากกลัวว่าจะซื้อบ้านแล้วจะไม่ได้รับบ้าน เนื่องจาก ช่วงนั้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เองก็ล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากที่ LH ใช้นโยบายดังกล่าวก็ส่งผลดีต่อบริษัทเป็นอย่างมาก ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ market share เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึง market growth ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในส่วนของ gross profit margin และ net profit margin ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทสามารถโตได้อย่างต่อเนื่องหลายปีในช่วงเวลาดังกล่าว
ตัวอย่าง MINT (ในอดีต)
ใน อดีต MINT เองมีธุรกิจอาหารที่เติบโตสูง รวมไปถึงยอดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูงทำให้อีกธุรกิจหลักนึงของบริษัท MINT ซึ่งก็คือ ธุรกิจโรงแรมเองนั้นมี occupancy rate ประมาณ 80% ซึ่งถือว่าสูง รวมไปถึงช่วงนั้น MINT เองก็เริ่มมีการพัฒนา brand อนันตรา เพื่อรับจ้างบริหารธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นการใช้ Asset ที่ไม่มีตัวตนเพื่อใช้ในการหารายได้ของบริษัทอีกทางนึง ซึ่งจากหลายปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลต่อการเติบโตของกำไรของบริษัท ซึ่งสุดท้ายก็ส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นไปหลายเท่า
CPALL เองก็โตจากการกิน market share ของโชวห่วย และการขยายสาขาของ 7-11 รวมไปถึงการที่ Profit margin ของบริษัทเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการที่บริษัทมุ่งเน้นไปยังธุรกิจการขาย สินค้าประเภทอาหารทำให้กำไรของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน

4.)การ ที่จะซื้อหุ้น super stock นั้นสิ่งนึงที่สำคัญก็คือการที่ซื้อหุ้นของบริษัทในช่วงที่ราคาไม่แพงจนเกิน ไป เพราะถ้าไปซื้อในช่วงที่ราคาสูงจนเกินไปนั้นก็อาจทำให้เราขาดทุนได้ ถ้ากำไรของบริษัทเองไม่ได้เพิ่มตามระดับความคาดหวังของนักลงทุน

สุด ท้ายนี้ขอขอบคุณ P’chinn สำหรับการให้ความรู้ที่มากมายกับเพื่อนๆนักลงทุน ขอขอบคุณ K.hongvalue สำหรับความเสียสละเพื่อที่จะจัดสัมมนาที่มีเนื้อหาดีๆครับ รวมไปถึงความรู้ที่มอบให้เพื่อนๆ ขอขอบคุณ p’moomoo สำหรับประสบการณ์อันล้ำค่าที่นำมา share ให้น้องๆทุกคนครับ และขอขอบคุณ web thaivi ด้วยครับที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการลงทุนครับ
:bow: