เป็นบทความที่เขียนสรุปจากคุณ earthcu จาก thaivi ครับ ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51141
เป็นการสัมนาสัมมนา Super Exclusive ที่จัดขึ้นโดยคุณ
hongvalue โดยมีวิทยากรหลัก คือ P’chinn, P’moomoo, K.hongvalue
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา
จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วน
เผื่ออาจจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นบ้างครับ
(ผมขออนุญาตอธิบายตามความเข้าใจของผมครับ
ถ้าผมเข้าใจในประเด็นที่วิทยากรสื่อสารคาดเคลื่อน
หรือจดในส่วนเนื้อหาไม่ถูกต้อง รบกวนวิทยากรทั้ง 3 ท่านช่วยแนะนำด้วยครับ
รวมไปถึงพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปร่วมงานในวันดังกล่าวช่วยแนะนำผมด้วยครับ)
ส่วนที่ 1 P’chinn share ความรู้และประสบการณ์การลงทุน
1.สิ่ง
ที่สำคัญอย่างนึงสำหรับผู้ที่อยากประสบความสำเร็จด้านการเงินคือ
การเขียนเป้าหมายให้ชัดเจน
แม้ว่าบางทีเป้าหมายเองนั้นอาจจะดูว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
และพยายามเขียนแผนเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริง โดยยกตัวอย่าง P’chinn
เองก็จะมีการทำ file excel เพื่อ simulate ว่าในช่วงอายุเท่าไรจะมีมูลค่า
port การลงทุนขนาดไหน รวมไปถึงเพื่อเปรียบเทียบว่าเทียบกับเป้าหมายเรายัง
OK ไหม แล้วก็พยายามดูเป้าหมายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดการซึมซับเข้าไปในจิตใจ
ซึ่งจะทำให้เราเองพยายามคิดขวนขวายเพื่อจะให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายดัง
กล่าว
2.คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น แทบทุกคนจะเป็นคนที่พยายามลงทุนกับวิชาความรู้เป็นหลัก
เรา
ควรที่จะเข้ามาตลาดหุ้นโดยที่ไม่ควรที่จะคำนึงถึงเรื่องเงินเป็นหลัก
แต่เราควรที่จะนึกถึงความรู้เป็นหลักก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว
ถ้าความคิดมันใช่ เงินก็จะตามมาเอง
3.อธิบาย Case study
เกี่ยวกับหุ้น PSL ในอดีต มีอยู่ช่วงเวลานึงนั้นเศรษฐกิจของจีนกำลังโต
ทำให้เรือขาดแคลน จึงทำให้ค่าระวางเรือเองนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งช่วงนั้น p’chinn เองก็นำค่าระวางเรือนั้นมาทำ forecase earning
เพื่อคำนวณหามูลค่าหุ้น (โดยช่วงที่ p’chinn ลงทุนช่วงนั้นมองว่า Dividend
ที่คำนวณได้มากกว่า 10%)
ซึ่งหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตามกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้น
4.การ
ลงทุนนั้น เราไม่ควรที่จะเชื่อใครง่ายๆ
การที่จะเชื่ออะไรสักอย่างเราควรต้องพิสูจน์ก่อน รวมไปถึงเราไม่ควรมี bias
เกี่ยวกับหุ้นบางตัวเพราะเราอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้กำไรจากหุ้นตัวนั้น
5.อธิบาย
Case study เกี่ยวกับหุ้น JAS ในอดีต ช่วงนั้น JAS เอง Market cap ประมาณ
8,000 ล้านบาท แต่มีกระแสเงินสดประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่า JAS
เองค่อนข้างถูกมากในช่วงนั้น เปรียบเปรยเหมือนกับการที่เราซื้อตู้ ATM
ในราคา 10,000 ล้านบาท แล้วตู้ ATM เองสามารถผลิตเงินสดให้แก่เราได้ปีละ
2000 ล้านบาท ซึ่งถ้าซื้อตู้ ATM นี้เพียงแค่ 5 ปี เราก็สามารถคืนทุนได้
6.ปัจจัย
นึงที่ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้คือการที่บริษัทมีประเด็นหรือมีตัวเร่ง
catalyst ยกตัวอย่างเช่นช่วงแรกๆ นั้น JAS ถือว่าเป็นหุ้นที่ถูกและดี
เพียงแต่ยังไม่มีประเด็นอะไรที่จะเป็นตัวผลักดันราคาของหุ้น
จนกระทั่งการที่บริษัทดึง 3 broadband มาจาก TT&T ได้รวมไปถึง
การที่บริษัทเองนั้นมีกระแสเงินสดที่ดีมาก
แต่ช่วงนั้นเองก็ยังไม่มีการปันผล เพราะบริษัทเองนั้นยังมีขาดทุนสะสมอยู่
จึงทำให้มีกระแสเรียกร้องจากผู้ถือหุ้นเพื่อให้บริษัทเองทำการลด par
เพื่อล้างการขาดทุนสะสมจนกระทั่งทำให้บริษัทเองสามารถปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
รวมไปถึงประเด็นเรื่องการขาย TT&T
ซึ่งเป็นตัวถ่วงผลการดำเนินงานของบริษัท
(โดยส่วนตัวผมมองว่าสำหรับหัวข้อนี้เพื่อนๆ
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือกุญแจ 5
ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในบทที่ 4 : การระบุถึงตัวเร่ง Catalyst
และประสิทธิภาพของตัวเร่ง ครับ)
7.เวลามองอะไร
ควรจะมองไปให้เห็นภาพที่เป็นจริงของบริษัท
อย่าไปติดกับดักในภาพหลอกของงบการเงิน เช่น JAS
การที่บริษัทขาดทุนนั้นเกิดจากการที่ Write off หุ้น TT&T
ทำให้กำไรน้อย
ซึ่งถ้าปีต่อมาไม่เกิดเหตุการณ์นี้ก็จะทำให้กำไรของบริษัทนั้นโตขึ้น
ทั้งๆที่จริงๆแล้วกำไรของบริษัทนั้นดีอยู่แล้ว
หรืออย่างกรณีการมองหนี้
ของบริษัท JAS
ในอดีตนั้นเราควรจะมองให้เห็นความจริงว่าหนี้ก้อนไหนที่บริษัทแม่ต้องรับผิด
ชอบ หนี้ก่อนไหนที่บริษัทแม่ไม่ต้องรับผิดชอบ
8.Case Study หุ้น
DTAC ช่วงต้นปี 2554 P’chinn ทำการหาข้อมูลบริษัทที่ 1.)Dividend yield ดีๆ
2.)เป็นบริษัทที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งก็เจออยู่ 2 อุตสาหกรรม
คือ ไฟฟ้า และสื่อสาร หลังจากทำการศึกษาก็เลือก DTAC
เนื่องจากมองไปที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท
รวมไปถึงการมองดูว่าคนรอบข้างเริ่มหันมาใช้ smart phone กันมากขึ้น ตอนนั้น
ARPU (Average revenue per user) อยู่ที่ 200 กว่าบาท
ซึ่งมีโอกาสปรับตัวได้เพิ่มขึ้นจากกระแสการเล่น internet
(ปันผลช่วงนั้นประมาณ 7%) หลังจากทำ forecast แล้วมองว่ามีโอกาสที่ DTAC
จะปันผลถึง 10% ณ ราคาตอนนั้น
ส่วนสาเหตุที่ไม่เลือก ADVANC
ในช่วงนั้นเนื่องจากมองว่า ADVANC
มีการรีดเงินสดโดยการปันผลออกไปเยอะแล้วในขณะที่ DTAC
เองมีกำไรสะสมและเงินสดอยู่ในบริษัทเป็นจำนวนมากซึ่งไม่สมเหตุสมผลเท่าไร
จึงคาดเดาว่าอาจจะมีปันผลพิเศษ จากกระแสเงินสดที่เหลือมากกว่าจะทำ 3G
9.สิ่ง
หนึ่งที่นักลงทุนควรมองให้ละเอียดก่อนการลงทุน
คือการพิจารณาเรื่องว่าเราจะปลอดภัยไหมจากการลงทุนนั้นๆโดยมอง Downside
risk ของบริษัทให้ดีก่อนการลงทุน นอกจากนี้แล้วโดยปกติ P’chinn
เองจะลงทุนในโอกาสที่มั่นใจ 100% (หวดทุกวงสวิง ที่มั่นใจเท่านั้น)
หากโอกาสนั้นเป็นเพียงแค่ 50-50 ก็จะไม่พิจารณาลงทุน
รวมไปถึงถ้าเราไม่เข้าใจในตัวกิจการที่มากพอ ก็จะไม่ลงทุนในบริษัทนั้นๆ
10.ประเด็น
นึงที่ P’chinn เองมักจะใช้ข้อมูลนี้ในการทำ forecast ยอดขายของบริษัท
คือการใช้ข้อมูล Demographic โครงสร้างประชากร
เพื่อนำข้อมูลนี้มาใช้ในการคำนวณว่าต่อไปผู้บริโภคกลุ่มไหน
จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น (เช่นประชากรกลุ่ม Generation X,Y
รวมไปถึงมองว่าประชากรกลุ่มดังกล่าวเองมีความสนใจในอะไรบ้าง เช่น Gen Y
เองอาจจะสนใจใน Technology มากกว่าประชากรที่มีอายุสูงๆ)
11.สิ่ง
หนึ่งที่นักลงทุนควรที่จะต้องระวัง
คือการที่บางคนนั้นใช้วิธีมองว่าที่ผ่านมากำไรของบริษัทโตขึ้นกี่ %
แล้วคิดว่าในปีต่อไปบริษัทเองจะกำไรโตเท่านั้น
ซึ่งนักลงทุนเองนั้นควรที่จะทำความเข้าใจในที่มากำไรของบริษัทนั้นๆก่อน
ถึงจะสามารถคาดการณ์การเติบโตของกำไรของบริษัทได้ใกล้เคียงขึ้น
12.การ
จะเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นนั้น
เราควรที่จะฝึกคิดวิเคราะห์จากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเรา
เช่นการอ่านข่าวนั้นเราควรที่จะคิดตามว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นๆจะส่งผลให้
เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ซึ่งสุดท้ายแล้วบางกรณีอาจเป็นเหตุการณ์ที่จะส่งผลทำให้กำไรของบริษัทในตลาด
หลักทรัพย์สามารถเติบโตได้
13.พึงระวังบริษัทที่มีลูกค้าเป็นลูกค้า
รายใหญ่ เพราะยิ่งธุรกิจขยายตัวอาจจำเป็นที่ต้องให้ supplier credit
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงวันนึงอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์บริษัทที่เป็นลูกค้านั้นเบี้ยวหนี้
บริษัทที่เราไปลงทุนทำให้เกิดความเสียหายหนักได้
ซึ่งจะค่อนข้างแตกต่างกับบริษัทที่ลูกค้าเป็นผู้บริโภครายย่อย
เช่นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
เพราะต่อให้ลูกค้าบางคนไม่ยอมจ่ายค่าบริการ
กำไรของบริษัทเองก็แทบไม่ได้กระทบกระเทือน
14.สำหรับผู้ที่อยากประสบ
ความสำเร็จทางด้านการเงินนั้น
บางครั้งเราอาจจำเป็นต้องเอาความสุขของเราไว้ทีหลัง
(อาจจะเป็นช่วงแรกๆของการลงทุน) โดยพยายามที่จะควบคุมรายจ่ายของตัวเรา
เพื่อให้เหลือกระแสเงินสดที่จะสามารถนำมาลงทุนได้
15.นักลงทุนเองไม่
ควรที่จะโลภ เพราะการที่เราไม่โลภก็จะทำให้เราลงทุนด้วยความไม่รีบร้อน
ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เราเองก็จะลงทุนด้วยความไม่เสี่ยง
16.อย่าเชื่อว่าใครจะพูดอะไร คนที่เก่งกว่าเรานั้นมองยังไง
อย่าเชื่อว่าหุ้นตัวไหนดี หุ้นตัวไหนปั่น
ถ้าสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง มันคือโอกาสของคุณ
17.ความ
เสี่ยงคือ การที่เราไม่รู้
เพราะฉะนั้นวิธีแก้ในประเด็นนี้คือการที่ทำให้มันรู้
โดยศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเราให้มากที่สุด
เพื่อปิดความเสี่ยง
18.ผู้บริหารและเจ้าของ
เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้น โดยบางครั้ง
ถ้าเรารู้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นของผู้บริหารและเจ้าของเป็นยังไง
ก็อาจจะทำให้เรารู้แรงจูงใจของพวกเขาในในบริษัท
โดยถ้าผู้บริหารถือหุ้นในสัดส่วนที่เยอะก็มีโอกาสที่จะมีแรงจูงใจสูง
19.คนที่จะลงทุนโดยใช้ margin นั้น สิ่งที่สำคัญมากคือคุณควรที่จะมี Exit Plan ไม่งั้นคุณอาจจะพังพินาศเพราะการใช้ margin
20.พึง
ระวังการใช้กำไรสุทธิเพียง อย่างเดียวในการวิเคราะห์หุ้น
เพราะบางบริษัทอาจจะมีกำไรสุทธิเป็นบวก
แต่ขาดกระแสเงินสดในการดำเนินงานทำให้บริษัทอาจจะล้มละลายได้
21.หนังสือ
เล่มนึงที่ P’chinn อ่านแล้วมีความประทับใจนั้นคือหนังสือชื่อ good luck
เป็นหนังสือที่คุณอ่านแล้วอาจจะได้เรียนรู้วิธีการสร้างโชคดีด้วยตัวคุณเอง
(หนังสือเล่มเล็กๆสีฟ้าๆ เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชื่นชอบเช่นเดียวกันครับ)
22.
ถ้าคุณอยากจะหาหุ้นตีแตกนั้น เราควรที่จะทำอะไรที่ละเอียดมากขึ้นไปอีก
ซึ่งจะเป็นการปิดความเสี่ยงต่างๆ ทำให้เราสามารถที่จะถือหุ้นอย่างสบายใจ
เช่นศึกษาผู้ถือหุ้นใหญ่, พรบ, กฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง
(และเราควรที่จะต้องเขียนเป้าหมายว่าเราหวังอะไรจากบริษัทนั้น เช่น
Dividend เองจะเพิ่มขึ้นเท่าไร
แล้วเอาเป้าหมายนั้นมาดูในเวลาที่มีความผันผวนของราคาหุ้นของบริษัทสูงๆ
เพื่อป้องกันการขายหุ้นนั้นเพราะความตกใจกลัว)
23.สำหรับการทำ
valuation ของหุ้นนั้น ถ้าเป็นไปได้เราควรที่จะลอง simulate
เหตุการณ์หลายๆกรณี เช่นการ valuation หุ้นบริษัทสื่อสารนั้น ถ้าประมูล 3G
ปี 2555,2556,2557 จะส่งผลยังไง หรือถ้าไม่มีการประมูล 3G เกิดขึ้น
มูลค่าหุ้นของบริษัทเองนั้นยังคุ้มที่จะลงทุนอยู่รึไม่
24.สำหรับ step การเลือกหุ้นมีดังนี้
หา Idea การลงทุน เริ่มหาข้อมูลบริษัท ทำ forecast งบการเงิน จากข้อมูล
56-1 หรือการสอบถาม IR ทำความเข้าใจบริษัท เพื่อปิดความเสี่ยงทั้งหมด
หาคนตรวจสอบ idea การลงทุนคุณ ทำการตรวจแก้ model
การลงทุนจากข้อมูลใหม่ที่ได้รับ เลือกลงทุนในบริษัท
สำหรับใน
ส่วนที่ 2 ของ P’moomoo (P’หมง) share ประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้ Margin
รวมไปถึงการกู้เงินเพื่อมาซื้อหุ้นในอดีตนั้น ผมขออนุญาตนำกระทู้ที่
P’moomoo เคย post มา share เพื่อนๆ อีกรอบครับ
น่าจะอธิบายได้เห็นภาพชัดเจนกว่าครับ (ขอบพระคุณ P’moomoo
เป็นอย่างสูงครับ)
ที่มา viewtopic.php?f=1&t=43059&p=646260#p646260
“ของ
ผมเริ่มเข้าตลาดก่อน subprime 1 ปีครับ เข้ามาเปิดดูในเวป thaivi ครับ
ศึกษาข้อมูลย้อนหลังได้อ่านบทความและอดีตเห็น 3
ทหารเสือชุดแรกขึ้นเป็นหลายเท่าครับ ต่อมาหลังจากสามทหารเสือชุดแรก
ผมก็มาได้อ่านเจอสามทหารเสือชุดที่สองครับ ผมเลือก ptl
ถ้าจำไม่ผิดผมมาเริ่มซื้อตอนเริ่มแพงแล้วครับ ราคาประมาณ 6
บาทและเริ่มเก็บเพิ่มไปเรื่อย ๆ ครับ เก็บไปจนถึง 7 บาทกว่าครับ
เก็บจนเงินหมด ไม่ซื้อตัวอื่นเลยครับ (นิสัยเสียมาก ๆ ครับ)
ตอนนั้นทุกคนในเวปมองกันว่าน่าจะได้เห็นสองหลักครับ ทุกอย่างดูดีไปหมดครับ
ทำไงดีตังค์หมดก็เปิดมาร์จิ้นเลยสิครับ ให้ MM 50% ด้วยครับ ยิ้มเลยครับ
อัดเต็มพอร์ตซื้อไปจนถึง 7.5 บาทครับก่อนประกาศผลประกอบการ 1 วันครับ
ประกาศเสร็จผมยังไม่รู้เลยครับ
ว่ามันแย่ลงเห็นว่ากำไรน้อยลงนิดหน่อยไตรมาสหน้าจะดีขึ้น เปิดเช้ามาที่ 7.2
ครับหลังจากนั้นก็ลงมาตลอดครับ ไม่เป็นไรเราไม่ขาย ธุรกิจยังโอเค
ไม่เป็นไรถือได้ (ลืมบอกครับว่าตอนนั้นผมเป็นบ้าขนาดเอาวงเงิน OD
มาซื้อด้วยครับ เพื่อน ๆ
ที่เคยคุยด้วยก็เตือนนะครับว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง
ผมก็หลงตัวเองบอกว่ายังไงก็ไม่ต่ำกว่า 5.8 อยู่แล้ว เพราะถ้าต่ำกว่าจะโดน
Call ครับ ถือได้ปีเศษเกิด subprime หุ้นลงอย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน โดน
call แน่ยังมั่นใจอีก
เอาที่ดินที่มีไปจำนองแบงค์แบบเร็วมาซื้อหุ้นเพิ่มครับ เพราะเห็นว่าแค่ 5
บาทกว่าถูกจะแย่ซื้อเสร็จยังโอนเข้าไปค้ำประกันได้ 2/3 ของเงินสดอีกแนะ
เรื่องอะไรหุ้นถูกขนาดนี้จะเอาไปใช้หนี้ สู้ดีซื้อหู้นดีกว่า
คิดได้ดังนั้นก็ซื้อตลอดทางครับ ยิ่งซื้อยิ่งลง
ตังค์หมดเอาตึกที่ร้านไปจำอีก ทำเหมือนเดิมครับเพราะไม่คิดว่าขนาด 4
บาทกว่าจะถูกขนาดนี้ ใครขายมาเนี่ยโง่จัง เราฉลาดจัง เป็นไงหล่ะครับ
เหลือสามบาทกว่า เอารถสามคันไปจำแบบไฟแนนซ์นอกครับ
ดอกแพงกว่าแบบในระบบเท่าตัวแต่ได้เงินภายในวัน
แต่ต้องจอดรถกับเค้าไว้เลยครับ
ลืมบอกไปผมเปิดร้านขายคอมตอนนั้นก็ดึงเงินจากหน้าร้านซื้อหุ้นเพิ่มทุกวัน
เพื่อที่จะโอนหุ้นเข้าครับ สิ่งที่ได้ประสบการณ์คือยิ่งโอนหุ้นเข้าค้ำ
เวลาหุ้นยิ่งลงตัวเงินที่โดน Call ยิ่งต้องจ่ายเพิ่มขึ้นครับ
เพราะหุ้นที่โอนเข้าไปค้ำมูลค่าลดลงครับ
ตอนนั้นผมเจรจาหยุดจ่ายเจ้าหนี้การค้าทุกคนเลยครับ เป็นเวลาสองเดือน
ยอมจ่ายดอกเบี้ยแต่ไม่หนี้นะครับ
ผมโทรหาเจ้าหนี้ทุกคนแต่บอกไม่ได้ว่าเสียหุ้นครับ จนกระทั่งลงไปเหลือ 2.88
ครับราคานี้จำได้ดีเพราะผมจำนำและขายทุกอย่างเท่าที่ขายได้หมดแล้ว
ผมทำได้สองทางครับ จะไล่ราคาหุ้นกลับเพื่อให้ไม่ต้องโดน force sell
หรือจะขาย ผมตัดสินใจไล่ราคากลับครับ เพราะวอลุ่มบางครับ
ถ้าผมขายราคาลงต่อก็โดน force sell อยู่ดีครับ ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ
สมมติเริ่มต้นผมมี 100 บาทกู้มาร์จิ้น 100 บาท วันที่ราคาเหลือ 2.88
เงินผมเหลือแค่ 8 บาทครับ
เพราะผมซื้อหุ้นแล้วโอนเข้าค้ำแทนที่จะใช้หนี้ตลอดทางขาลง
ผมตัดสินใจผิดมหันต์ครับ เพราะไม่คิดว่าหุ้นจะลงได้ลึกขนาดนี้ บริษัทก็ดี
ไม่ได้แย่ลง แต่ลืมนึกว่าตอนนั้นทุกคนต้องขาย บ้างก็โดน force
ถ้าเงินใส่ไม่ได้ วันนั้นผมเลยตัดสินใจไล่ราคากลับครับ วัดดวงครั้งสุดท้าย
จนราคาไปปิดประมาณ 3 บาทนิด ๆ ผมรอด force ครับ แต่ผมมีเวลา 5
วันในการหาเงินมาใส่ เพราะโดน call ครับ และมีเวลา 3
วันที่จะมาจ่ายค่าหุ้นที่ไล่ราคาครับ เพื่อน ๆ
คงงงว่าทำไมผมไม่ตัดสินใจขายเพราะถ้าขาย ณ ตอนนั้น ราคาลดผมก็โดน force
อยู่ดีครับ
ยิ่งขายยิ่งแย่ดู่แล้วถ้าตอนนั้นหุ้นหมดแต่หนี้มาร์จิ้นหมดผมก็ยอมครับ
แต่ดูแล้วถ้าโดน force หมดผมคงติดลบอีกบาน
ต้องหาเงินใช้หนี้อีกทั้งชีวิตครับ สรุปว่าหาเงินจ่ายตลอด 2 เดือนครับ
หยุดจ่ายเจ้าหนี้ จำนำและขายทุกอย่าง
ขนาดทองหมั้นแม่ผมรู้ยังเอาทองของแฟนไปไว้ที่แบงค์กลัวผมเอาไปขายเลยครับ
ผมโชคดีที่แฟนไม่ว่าอะไรซักคำ ไม่ด่าและช่วยเป็นกำลังใจให้ครับ
หลังจากไล่กลับมาสามบาทเศษวันนั้น หุ้นก็ค่อย ๆ ปรับขึ้นวันละนิดครับ
ผ่านไป 5 วันราคาก็ขึ้นมาเกินจาก call ครับ
ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นบท
เรียนสอนให้รู้ว่าอย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป อย่าโลภ อย่าลงทุนเกินตัว
ถ้าผมกินเงินเดือนป่านนี้คงหมดตัวแล้วครับ
ดีแต่ว่าค้าขายยังดึงเงินหน้าร้านมาจ่ายได้
สมมติว่าถ้าหุ้นฟื้นช้ากว่านี้อีกแค่สองวันหรือมีคนโดน force
ลงมาอีกตอนนี้ผมคงเป็นคนล้มละลายแล้วครับ ขอเป็นประสบการณ์ให้คนที่ได้กำไร ณ
ตอนนี้ระวังเรื่องมาร์จิ้นด้วยนะครับ อันตรายถึงชีวิตครับ
และอย่าใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียวครับ เพราะเวลาหุ้นลงสภาพคล่องหายขายไม่ได้
อยากขายก็ขายไม่ได้ครับ ตอนซื้อซื้อเยอะก็ต้องซื้อแพงอีกไม่มีอะไรดีเลยครับ
ผมถือว่าผมยังโชคดีนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่ารอบหน้าจะโชคดีแบบนี้อีกหรือไม่
หลังจากรอบนี้ผมตั้งใจจะเปลี่ยนทั้งเรื่องมาร์จิ้น เรื่องซื้อหุ้นตัวเดียว
เรื่องมั่นใจในตัวเอง แล้วครับ”
โดยสรุปของ p’moomoo คือ
1.)ไม่ต้องรีบรวย ถ้ายังไม่เคยเจอวิกฤติในชีวิต
2.)การใช้ margin นั้นจะทำให้คุณจนลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณเลือกหุ้นผิดตัว
3.)การ
ใช้ margin แล้วคุณลงทุนหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวนั้น
ถ้าหุ้นเองมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องแล้วเกิดวิกฤตินั้นจะทำให้น่ากลัวมาก
รวมไปถึงคุณเองอาจจะไม่สามารถที่จะ switch port ได้
4.)การที่ราคาหุ้นยิ่งลง แล้วเราจะยิ่งขายนั้น เป็นเรื่องที่ยากในการทำใจของนักลงทุนทั่วไป
สำหรับส่วนที่ 3 นั้น K.hongvalue share ความรู้มีรายละเอียดบางส่วนดังนี้ครับ
1.ข้อควรที่จะต้องสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการใช้ margin
-Business ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจควรจะต้องต่ำ
-Financial Risk ความเสี่ยงทางด้านการเงินของบริษัทเองควรจะต้องต่ำ เช่นเดียวกัน
-Market
Risk
ซึ่งนักลงทุนหลายๆคนที่ไม่เคยผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเองอาจจะไม่ได้สนใจใน
ประเด็นนี้
ซึ่งจริงๆแล้วการที่มีความไม่แน่นอนตรงนี้นั้นอาจจะทำให้หลายๆท่านที่ไม่ได้
คำนึงถึงจุดนี้อาจจะล้มละลายได้ครับ
2.K.hongvalue
อธิบายเกี่ยวกับแง่คิดในการใช้ชีวิตว่า
เรานั้นควรจะมองหาแง่ดีๆของคนที่ประสบความสำเร็จเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับตัว
เราเอง เพื่อที่จะทำให้เราได้พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
3.Criteria ที่สำคัญสำหรับการเลือกหุ้น Super Stock มีดังนี้ครับ
-Market Share
-Market Growth
-Profit Margin
โดย
มองว่าบริษัทเองควรอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต และควรที่จะต้องมี net margin
ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยยกตัวอย่าง LH (ในอดีต)
ใช้นโยบายสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย ในช่วงที่หลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง
ซึ่งช่วงนั้นเองผู้บริโภคเป็นจำนวนมากกลัวว่าจะซื้อบ้านแล้วจะไม่ได้รับบ้าน
เนื่องจาก ช่วงนั้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เองก็ล้มละลายเป็นจำนวนมาก
ซึ่งหลังจากที่ LH ใช้นโยบายดังกล่าวก็ส่งผลดีต่อบริษัทเป็นอย่างมาก
ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ market share เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รวมไปถึง market growth ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในส่วนของ gross profit margin
และ net profit margin ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทสามารถโตได้อย่างต่อเนื่องหลายปีในช่วงเวลาดังกล่าว
ตัวอย่าง MINT (ในอดีต)
ใน
อดีต MINT เองมีธุรกิจอาหารที่เติบโตสูง
รวมไปถึงยอดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูงทำให้อีกธุรกิจหลักนึงของบริษัท MINT
ซึ่งก็คือ ธุรกิจโรงแรมเองนั้นมี occupancy rate ประมาณ 80% ซึ่งถือว่าสูง
รวมไปถึงช่วงนั้น MINT เองก็เริ่มมีการพัฒนา brand อนันตรา
เพื่อรับจ้างบริหารธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นการใช้ Asset
ที่ไม่มีตัวตนเพื่อใช้ในการหารายได้ของบริษัทอีกทางนึง
ซึ่งจากหลายปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลต่อการเติบโตของกำไรของบริษัท
ซึ่งสุดท้ายก็ส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นไปหลายเท่า
CPALL
เองก็โตจากการกิน market share ของโชวห่วย และการขยายสาขาของ 7-11
รวมไปถึงการที่ Profit margin
ของบริษัทเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการที่บริษัทมุ่งเน้นไปยังธุรกิจการขาย
สินค้าประเภทอาหารทำให้กำไรของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน
4.)การ
ที่จะซื้อหุ้น super stock
นั้นสิ่งนึงที่สำคัญก็คือการที่ซื้อหุ้นของบริษัทในช่วงที่ราคาไม่แพงจนเกิน
ไป เพราะถ้าไปซื้อในช่วงที่ราคาสูงจนเกินไปนั้นก็อาจทำให้เราขาดทุนได้
ถ้ากำไรของบริษัทเองไม่ได้เพิ่มตามระดับความคาดหวังของนักลงทุน
สุด
ท้ายนี้ขอขอบคุณ P’chinn สำหรับการให้ความรู้ที่มากมายกับเพื่อนๆนักลงทุน
ขอขอบคุณ K.hongvalue
สำหรับความเสียสละเพื่อที่จะจัดสัมมนาที่มีเนื้อหาดีๆครับ
รวมไปถึงความรู้ที่มอบให้เพื่อนๆ ขอขอบคุณ p’moomoo
สำหรับประสบการณ์อันล้ำค่าที่นำมา share ให้น้องๆทุกคนครับ และขอขอบคุณ web
thaivi ด้วยครับที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการลงทุนครับ
หลักสูตรสอนเล่นหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานสไตร์ VI สอนหุ้นกลุ่มเล็ก ตอบทุกปัญหาการลงทุน
เจาะลึกหุ้นอย่างเซียนเห็นผล 100% สไตร์ อ.ภัทรธร
**สอบถามรายละเอียดและตารางอบรมที่ (รับจำนวนจำกัด)
**ดูรายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
สรุปความรู้จากการสัมมนาสอนเล่นหุ้นแบบ Super Exclusive
ป้ายกำกับ:
สอนเล่นหุ้น
,
Catalyst
,
jas
,
margin
,
margin of safety
,
psl
,
risk
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น
(
Atom
)
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
สงสัยอะไรถามได้ครับผม