"ความสำเร็จในกิจการงานใดใดนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะผู้ปฏิบัติมีความศรัทธาต่องานนั้นและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบรรลุภารกิจนั้นให้จงได้ การลงทุนเองก็ไม่แตกต่าง เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ผู้เขียนจึงเทใจศรัทธาและเชื่อมั่นกับหลักการลงทุนว่ามันทำได้จริง เพราะเห็นตัวอย่างจากนักลงทุนที่มุ่งมั่นทั่วโลกว่าเขาทำสำเร็จกันมาแล้วมากมาย จิตใจที่แข็งแกร่งแน่วแน่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การตัดเสียงรบกวนรอบข้างออกไปและตัดสินใจตามแนวทางของตนแม้ว่ามันจะฝืนกับความเชื่อของคนอื่นๆ และหากเราต้องการเป็นนักลงทุนสายพื้นฐานที่เน้นความเข้าใจในกิจการ เข้าซื้อหุ้นของบริษัทแข็งแกร่งในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้ว ในแบบที่ผู้เขียนใช้นั้น ก็ขออนุญาตแชร์ให้ฟังว่า ผู้เขียนเชื่อว่า
- การลงทุนที่ดีนั้นต้องช้าเข้าไว้ เดินช้า ๆ มาขึ้นรถและรอจนกว่ารถออก นั้นปลอดภัยกว่าการกระโดดขึ้นรถในนาทีสุดท้าย
- การลงทุนด้วยข้อมูลสาธารณะ ข้อมูลเปิดเผยตามสื่อทั่วไป ไม่ได้ทำให้เราเสียเปรียบนักลงทุนที่รู้ข้อมูลวงในเสมอไป เพราะอันที่จริงเราไม่ได้แข่งกับใครทั้งสิ้น นอกจากหาซื้อของดีในราคาถูกที่วางขายในตลาดหลักทรัพย์อย่างเปิดเผย
- การเข้าใจโมเดลธุรกิจอย่างถ่องแท้ นั้นสำคัญกว่าความสามารถในการคำนวณสูตรหรือสมการยาก ๆ เพื่อประเมินมูลค่าธุรกิจออกมา
- ไม่มีราคาเหมาะสมปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหน ๆ มีแต่มูลค่าตลอดชีพของกิจการที่เราต้องคอยประเมินอยู่เสมอและมันเปลี่ยนแปลงได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนหรือมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้น
- ไม่จำเป็นต้องแบ่งหุ้นเป็น Defensive, Turnaround, Cycle, Growth หรืออะไรทั้งนั้น เพราะการลงทุนที่ดีต้องเริ่มจากการป้องกันเงินต้นให้ได้ (Defensive) ด้วยการเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง หาจังหวะซื้อของดีที่ตลาดยังไม่รับรู้ (Turnaround) เข้าลงทุนที่ระดับราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอ แล้วถือยาวข้ามความผันผวน (Cycle) โดยบริษัทนั้นต้องมีโอกาสเพิ่มมูลค่าให้กับการลงทุนอย่างเพียงพอในระยะยาว (Growth)
- อย่าถูกหลอกด้วย Sector และ Stereotype ของมัน จริงอยู่ว่า กิจการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิคส์ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก หรืออื่น ๆ น่าจะมีคุณลักษณะและปัจจัยทางธุรกิจที่เฉพาะตัวและทำให้ดูเหมือนว่ามีบางอุตสาหกรรมน่าลงทุนมากกว่าบางอุตสาหกรรม แต่อย่าลืมว่าเราลงทุนในบริษัทไม่ใช่อุตสาหกรรม การเข้าไปศึกษาธุรกิจอย่างลึกซึ้งอาจพบกว่าธุรกิจหนึ่งถูกจับวางอยู่ในอุตสาหกรรมหนึ่งแต่มีบริษัทลูกทำธุรกิจอีกอีกอุตสาหกรรมและมันกำลังไปได้ดีมาก การมองแบบ Bottom Up หรือ Look-Through จะช่วยให้เราค้นพบเพชรที่ยังซ่อนอยู่ได้ก่อนคนทั่วไปในตลาด
- ผู้ชนะในการลงทุนไม่จำเป็นต้องฉลาดที่สุด แต่ต้องมีอุปนิสัยที่เหมาะสมกับการลงทุนมากที่สุด บางอย่างต้องฝึกฝน บางอย่างก็โชคดีที่มีมาแต่กำเนิด หากคุณไม่รู้สึกอึดอัดที่ทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านรอบข้าง บางทีคุณอาจจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า คนฉลาดที่คิดคำตอบโจทย์คณิตศาสตร์ยาก ๆ ได้ออกมาเท่ากับที่อาจารย์สอน และ
- การลงทุนที่ทำกำไรได้มากคือการลงทุนที่ไม่จำเป็นต้องขายทำกำไรเลย ลงทุนในบริษัทที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่น่าพอใจได้อย่างต่อเนื่อง ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะคำพูดแบบนี้มันดูเท่ดี แต่การไม่ขายก็ไม่ต้องเสียค่าคอมทั้งขาซื้อและขาขายแต่ปล่อยให้ผลตอบแทนทบต้นได้มีโอกาสทำงานของมันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย การถือหุ้นตัวเดียวที่สร้างผลตอบแทนทบต้น 20% ต่อปีเป็นระยะเวลา 10 ปี ย่อมดีกว่าการถือหุ้นที่สร้างผลตอบแทนปีละ 20% ตัวละ 1 ปี โดยการขายตัวเก่าเข้าตัวใหม่ทั้งหมด 10 ครั้ง เพราะนอกจากมีค่าคอมมาบั่นทอนจำนวนเงินทุนในการเข้าซื้อครั้งถัดไปแล้ว นักลงทุนยังพบกับ investment risk ที่จะหาหุ้นตัวใหม่ที่ให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าเดิม นอกจากนั้น การถือหุ้นตัวเดียว 10 ปี ย่อมเปิดโอกาสให้เรามีความเข้าใจในธุรกิจของมันอย่างถ่องแท้มากกว่าการเปลี่ยนหุ้นไปมา ทำให้เรามองเกมได้ลึกกว่าชัดกว่า อย่างไรก็ตามหุ้นที่ไม่ต้องขายนั้นคงหาได้ยากแสนยาก ประเด็นที่สำคัญ คือเราไม่ควรถามตัวเองว่าซื้อหุ้นตัวนี้แล้วควรขายเมื่อไรดี แต่ควรถามว่าจะหาหุ้นที่ซื้อแล้วไม่ต้องขายได้อย่างไร เพื่อปรับกรอบความคิดและเข็มทิศให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น"
[1] https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment/posts/527106740650579
[2] https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment/posts/527447647283155
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
สงสัยอะไรถามได้ครับผม