เกี่ยวกับราคาทองคำที่ดิ่งลงอย่างน่าเหลือเชื่อในช่วง 3 วันที่ผ่านมาผมมีทัศนคติกับเรื่องดังกล่าวดังต่อไปนี้
ก่อนอื่นเราต้องมาเริ่มต้นทำความเข้าใจบางอย่างเพื่อปรับพื้นกันก่อนนะครับว่าปัญหาเศรษฐกิจยุโรปในปัจจุบันนั่นจุดเริ่มต้นเริ่มตั้งแต่ประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา แต่ลุกลามจนเห็นผลได้ชัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั่นเอง
สาเหตุหนึ่งมาจากอะไร ? แน่นอนว่าในข้อบกพร่องของระบบทุนนิยมนั้น ผู้ที่มีทุนมาก ย่อมสร้างไซโลดักเก็บเงินได้มากกว่าบุคคลทั่วไป และมักเก็บเงินเข้าสู่ระบบธฯาคาร (ตัวเลขบนกระดาษ) ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ทั่วโลกประสพสภาวการณ์เดียวกันนั่นคือ กระดาษ หรือ พันธบัตรที่อยู่นอกตลาด หายไปอยู่กับนายทุน นั่นทำให้สภาพคล่องของการใช้จ่ายลดน้อยถอยลงไป (สภาวะในตลาดคือ เงินที่เป็นตัวเลขอยู่บนบุ๊คแบงก์ สภาวะนอกตลาดคือเงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินของประชาชน)
จากจุดนี้เองทำให้ "เงินเฟ้อ" (หรือ ธนบัตรที่พิมพ์มากกว่าปริมาณทองคำที่ประเทศนั้นๆถือครองอยู่) มีความสำคัญในระบบเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน
จากวันนหนึ่งจนถึงปัจจุบัน ในตำราเรียนจนถึงระดับปริญญาเอก ยังคงสอนให้เชื่อว่า เงินเฟ้อ ยังคงเป็ฯตัวร้ายสำหรับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นในยุโรปนั้น คือเคสปัญหาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกทุนนิยม นั่นคือ เมื่อเม็ดเงินนอกระบบหรือสภาพคล่องหายไป รัฐบาลก็จำเป็นต้องผลิตพันธบัตรที่เรียกว่า "เงินเฟ้อ" นี้ออกมาเพื่อกระตุ้นหมุนเวียน การจับจ่ายใช้สอย
เมื่อผลิตมากเข้า มากขึ้น มันก็เกินปริมาณทองคำ หรือ ทุกๆสัญญาที่เป็๋นการทำบัญชีใช้จ่ายของอนาคต หรือเรียกว่าการ "ทำบัญชีแบบขาดงบดุล" นั่นเอง
ตรงนี้เราจะเห็นโครงสร้างระบบเศรษฐกิจหลักๆ ในระบบทุนนิยมในปัจจุบัน
จากที่ผมอธิบายมาในข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่าวิกฤติยุโรป คือ ช่วงที่เรียกว่าเป็ฯ หายนะทางเศรษฐกิจ จากกรณีเม็ดเงินที่อยู่ในประเทศไปกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มระดับนายทุน จนรัฐบาลผลิตเงินเฟ้อออกมาเกินอัตรา จึงทำให้ทางยุโรปต้องการทองคำ เพื่อสนับสนุนมูลค่าสกุลเงินตนเอง ไม่ให้ลอยตามอัตราเงินเฟ้อ
เมื่อยุโรปต้องการทองคำ แล้วจะได้มาอย่างไร ในเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจก็ขาดงบดุลกับประเทศอื่นๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทองคำจะเข้ายุโรป ต้องทำอย่างไรล่ะ ?
คุณทราบเหรือไม่ว่าปัจจุบันนี้ ประเทศในทวีปเอเชีย คือ ประเทศผู้ที่กุมทองคำสดไว้มากที่สุด และ ยังคงมีวัฒนธรรมเฉพาะสำหรับคนเอเชียนั่นคือ การใช้ทองคำเป็นเครื่องประดับนั่นเอง จึงทำให้มีปริมาณทองคำ ทั้งในสภาวะตลาด และ นอกสภาวะตลาดล้นหลาม
ปริมาณทองคำมากมายมหาศาลเหล่านี้ เป็นที่ต้องการของชาวตะวันตกมาก เพราะเป็นที่ต้องการในการค้ำจุนเศรษฐกิจ อีกทั้งปัจจุบันนี้ Head ทางเอเชีย ไปคุมกลไกเศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปได้ค่อนข้างเป็นที่สมบูรณ์ (ประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาจากหัวเรือแรกคือ ญี่ปุ่น ไทย และ จีน)
ชาวตะวันตก (หลังจากนี้ผมจะใช้คำว่าชาวตะวันตกเพราะสืบเนื่องรวมกับความต้องการของชาวอเมริกันด้วย)
ชาวตะวันตกจึงพยายามหาทางหลายๆอย่างที่จะขัดแข้งขัดขากลุ่มทุนทางเอเชียหลายครั้งหลายครา เช่น การสร้างเรื่องราวปัญหาให้กับ รถยนต์ค่ายญี่ปุ่น เช่น ฮอนด้า โตโยต้า ให้มีปัญหาและเสื่อมเสียภาพลักษณ์ (พวกคุณคงจำกันได้) เพื่อลดความ popular ของ head ทางเอเชียในการขนเงินกลับเอเชีย ทำให้ GM ฟื้นตัวขึ้น และอีกหลายๆอย่างที่เป็นนวัตตวิธีทางการเงิน เช่น สร้างระบบ อีเคอเรนซี่ ระบบกฏหมายลิขสิทธิ์ และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อที่จะดึงเงินดุลสะพัดกลับเข้าไปทางตะวันตก (ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความฟุ้งเฟ้อในการใช้ทรัพยการธรรมชาติที่สำคัญของทางตะวันตกนั่นเอง)
จนมาถึงต้นปีนี้ Goverment ของทางตะวันตกก็มีการสนับสนุนให้นักลงทุนชาวตะวันตกเข้ามาเก็งกำไร หรือ รุกคืบเข้ามาใน เอเชีย ทำให้สิ่งที่เราเห็ฯตั้งแต่ต้นปีคือ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วเอเชีย พุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และมันจะวูบหายไปเป็นช่วงๆ ในช่วงที่ชาวตะวันตกทำกำไรและขน "มูลค่า" ไปยังตะวันตก และนำเงินทุนกลับมาใหม่ (ผมมั่นใจว่าปีนี้หุ้นไทยแตะที่ 1700 ถึง 1800 แน่นอน แต่ไม่ถาวร เพราะเป็นเงินมหาศาล)
ทุกอย่างมันกอปรคู่ขนานกันไป ทั้งการสร้างสภาวะความหวาดกลัวกับสงครามของสองเกาหลี รวมถึงความพยายามที่จะลดมูลค่าทองคำ นั่นเอง
พวกคุณไม่งงกันหรือไรว่า ราคาทองคำลดลงได้อย่างไร ในเมื่อ ดีมานยังคงมีความต้องการตลอด และ เป็นมูลค่าที่ไม่มีทางสูญหาย (ทองคำเป็นสสารที่เปลี่ยนรูปได้แต่จะไม่เเปรสภาพเป็นสสารชนิดอื่น)
ตอนนี้ใครกำลังได้ผลประโยชน์อยู่น้าาาาาา ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ
ขอบคุณครับที่ติดตามบทความผมมาโดยตลอด
ใครได้ประโยชน์ |
ใครที่จะได้ผลประโยชน์จากการ "มูลค่า" ของทองคำที่ลดลง
ตรงนี้เราต้องมองโจทย์ให้หลายมิติก่อนนะครับว่า ถ้ามีผู้ได้ผลประโยชน์ก็จะต้องมีผู้เสียผลประโยชน์คล้ะเคล้ากันไป
ซึ่งประเด็นเหรียญอีกด้านหนึ่งของผมนั้นคำตอบของผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา+สหราชอาณาจักร รองลงมาคือ กลุ่มสหภาพยุโรป
ผู้ที่ได้ผลประโยชน์โดยตรงนี้โดยรวมหลังจากนี้ผมจะเรียกกว่ากลุ่มทุนตะวันตกนะครับ
เมื่อมูลค่าทองคำลดลงนั่นเท่ากับว่า มูลค่าของหนี้สินของกลุ่มทุนตะวันตกก็จะลดจำนวนตัวเลขด้วยเช่นกัน ทำให้สัญญาใหญ่ๆสำคัญที่จำเป็นต้องจ่าย หรือ เคลื่อนไหวในช่วงนี้มีต้นทุนค่าปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผ่อนคลายมากกว่าเดิม
คู่ขนานกันไปกับการสนับสนุนนักธุรกิจชาวตะวันตกให้มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ธุรกิจประเภท เงิน ต่อ เงิน หรือ การทำกับไรกับมูลค่าเพิ่มที่ลอยอยู่ในอากาศ เช่น การซื้อสัญญาหลักทรัพย์ล่วงหน้า การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน การเก็งกำไรกับสภาวะตลาดเงินในเอเชีย เพื่อโยนหนี้เน่าทิ้งไปให้หายไปกับมูลค่าเพิ่มที่ลดลง
จากตรงนี้เองเพื่อนที่อ่านอยู่อาจจะเริ่มงงแล้วว่าผมหมายถึงอะไร ผมจะทำโร้ดแมบให้ดูดังต่อไปนี้
สมมติโลกนี้มีสองประเทศคือ ประเทศตะวันตก กับ ประเทศเอเชีย
เมื่อทองคำมูลค่าลดลง = เพิ่มตัวเลขเงินเฟ้อให้กับ ประเทศตะวันตก และ ประเทศเอเชีย เนื่องจากมูลค่าทองคำที่ค้ำประกันพันธบัตรลดมูลค่าลง นั่นเท่ากับทำให้ พันธบัตร ที่มีอยู่ในประเทศเอเชีย และ ประเทศตะวันตก มีมากกว่าปริมาณทองคำที่คำประกัน
(กรณีตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการอธิบายให้เข้าใจคร่าวๆ เพราะโดยการทำธุรกรรมระหว่างประเทศต่อประเทศนั้น จะสำเร็จธุรกรรมผ่านมูลค่าในสัญญาราคาทองคำล่วงหน้ากันอยู่แล้ว มันทบๆกันไป เช่น ปี 2010 คือปีที่ finish ดีลมูลค่าอัตราแลกเปลี่ยน ของปี 2005 โดยประมาณการ)
กรณียกตัวอย่าง :
สมติประเทศไทยมีทองคำอยู่ 10 ตัน(ในธนาคารชาติ) ที่ค้ำประกันมูลค่าพันธบัตร ในจำนวนที่ผลิตพันธบัตรเพื่อหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจในประเทศในจำนวนมูลค่า 10 ล้านบาท + สัดส่วนพิเศษเงินเฟ้อ อีก 3 ล้านบาท สุทธิเป็นจำนวน 13 ล้านบาทต่อ ทองคำ 10 ตัน เมื่อมูลค่าทองคำลดลง นั่นเท่ากับว่า ในจำนวนทองคำ 10 ตันที่มีอยู่เท่าเดิม มูลค่าจะลดลง เท่ากับ ทองคำ 10 ตัน ไม่สามารถค้ำประกันปริมาณพันธบัตรจำนวนเท่าเดิมได้ ทำให้รัฐบาลไทยมีสองทางเลือกคือ
1. ทำลายพันธบัตรที่เฟ้อจากมูลค่าที่ลดลง (เป็นไปไม่ได้เพราะกระดาษทุกใบจะมีเจ้าของเงินอยู่แล้วเท่ากับว่า จะมีความเสียหายเป็ฯวงกว้าง และโดยปกติการทำลายธนบัตรที่เฟ้อก็ถูฏกระทำกันผ่านการฝากเงินกับธนาคารอยู่แล้ว โดยกระดาษธนบัตรที่ฝากธนาคารทุกใบจะถูกทำลาย และ แปรเปลี่ยนเป็นตัวเลขในบัญชีธฯาคารของผู้ฝากนั่นเอง และจะมีดีลการทำลายโดยปรกติคือ 1 ปี/1 ครั้ง)
2.นำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริการมาค้ำประกันพันธบัตรที่เฟ้อจากมูลค่าทองคำที่ลดล นั่นเท่ากับว่า เป็ฯการนำเม็ดเงินในอนาคตที่จะได้มาใช้มูลค่าการชำระหนี้สินในเรตทองคำที่ลดลง (อย่าลืมว่าประชาชนทั่วโ,กชำระเงินกันด้วยพันธบัตร แต่ เมื่อถึงดีลทำบัญชีอัตราแลกเปลี่ยน ของสกุลเงิน ระหว่างประเทศ กับ ประเทศ หรือ GOverment กับ Goverment นั้น จะใช้มูลค่าทองคำในธนาคารชาติที่มี โอนจ่ายค่าส่วนต่างของดุลการค้าในแต่ละปี และ ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกเลือกผู้สกุลเงินของตนเองกับสกุลเงิน usd จากสาเหตุที่ เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งมารกที่สุดเพราะนอกเหนือจาก ใช้ทองคำค้ำประกันมูลค่าแล้ว ยังสามารถผลิตเพิ่มเติมได้โดยอ้างอิงจากปริมาณน้ำมัน เป็นเพียงชาติเดียวเท่านั้นนั่นเอง)
จากตัวอย่างนี้ เมื่อ สุดท้ายทั้งหมดจะถูกจัดการในกรอบของสกุล usd เป็นหลัก นั่นเท่ากับว่า สกุลเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ตามกลไกปรกติที่ประเทศใหญ่จะได้เปรียบดุลการค้าทุกปี กับ ประเทศรายย่อยนั่นเอง
จากหลักการเดียวกัน ให้ใช้กรอบนี้ แล้วเปลี่ยนโจทย์จากสหรัฐอเมริกา เป็นกลุ่มสหภาพยุโรปดู เราก็จะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น และพวกเขาทำควบคู่กันไปกับการอาศัยช่องว่างนี้ นำหนี้เสียที่ลอยอยู่ในอากาศ ไปลงทุนกับ ตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ก็แน่นอนว่า ตลาดหุ้นทั่วเอเชียที่คึกคักแบบผิดหูผิดตามมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวา 2012 จนถึงปัจจับนนี้ จะเห็นว่า เม็ดเงินจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามา อย่างน่าแปลกใจ (กรณีนี้เรายังสามารภจำกัดกรอบได้ว่าเป็ฯจุดเริ่มต้นของฟองสบู่ด้วยเช่นกัน )
ซึ่งอย่าลืมว่า ปริมาณเงินที่เข้ามาซื้อขายหลักทรัพย์เพื่มมากชึ้นในเอเชีย คือเม็ดเงินที่ผ่าน พันธบัตรจากประชากร หรือกลุ่มทุนยุโรปที่เป็ฯภาคเอกชน นั่นเท่ากับว่า การนำเงินเข้าออกตลาดใดๆในเอเชีย ถือว่าตัวนับเป็น พันธบัตร
แต่เป็นพันธบัตรที่เฟ้อแล้วนั่นเอง แต่ยังคงมีมูลค่าอยู่ เมื่อนำมาเก็งกำไรตรามแบบแผนที่มี Goverment สนับสนุนอยู่ และการสร้างสภาวะการณ์ที่ล่อแหลมเช่น เหตุการณ์ตึงเครียดใน เกาหลีใต้ ทำให้ราคาหุ้นลดลง เหมาะที่จะนำเงินเฟ้อมาลงทุนซื้อขาย
เพื่อขนมูลค่าทองคำกลับประเทศ
คิดว่าภาพนี้จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น คือมันมีองประกอบมากกว่านี้ เพราะต้องเข้าใจว่า ดีลระหว่าง interbank ต่อ interbank สุทธิสัญญาธุรกรรมกันข้ามปีข้ามปัจจุบันไปหลายชอตแล้วเป็น
กลไกปรกติ และสัญญาเดียวกัน ทำให้มีหลายมูลค่าต่างๆได้ ก็เช่นเดียวกับ ทองคำ ราคาขาย ราคาค้ำพันธบัตร ราคาสั่งซื้อล่วงหน้า สัญญาซื้อขายล่วงหน้า สัญญาประเภท CFDs และอีกเพียบ
ทำแผนผังไม่ได้ง่ายๆแน่นอน
ซึงในภาพนี้ให้คิดว่าเป็ฯระบบเงินสด ทำธูรกรรมตัวเลขกันทุกๆ ไตรมาศ หรือ สิ้นปีแล้วกัน จะไม่งง
บทความที่ 3 ต่อเนื่อง (พรุ่งนี้อาจไม่มีเวลาเขียนบทความ)
------
จริงแล้วปัญหายุโรปไม่ได้มีปัญหาอะไรมากเลย ตามความคิดส่วนตัว เพราะว่า ผู้คนก็ยังคงมีฐานะและปรกติดี เพียงแค่ว่า ดัชนีเศรษฐกิจ หรือ เงินนอกระบบ (กระดาษธนบัตรที่ใช้จ่าย หรือ เงินที่อยู่นอกบัญชีตัวเลขธฯาคาร) มันหายไป เลยไม่มีสภาพคล่องให้ใช้จ่าย เมื่อไม่ใีให้ชาวยุโรปใช้จ่าย รัฐบาลก็ต้องผลิตเงิน (ธนบัตรเพิ่มขึ้น) เพิ่มไปเพิ่มมา ก็ล้นปริมาณทองคำที่มีและรวมทุกๆสัญญา ก็กลายเป็ฯปัญหาว่า มีปริมาณมูลค่าไม่พอจ่ายกับประเทศคู่ค้า อาทิ สมมติว่าโตโยต้าขายรถปีนี้ทั้งปีได้กำไร 1000 ล้าน ยูโร เวลาจะถ่ายเงินออกจากยุโรปไปลงทุนที่ประเทศอื่นๆ เลยกลายเป็ฯปัญหาว่า รัฐบาลยุโรปมีไม่พอจ่ายไปยังประเทศของนายทุนโตโยต้า (แต่แน่นอนว่าตัวเลขเงินในปัญชีของ บ.โตโยต้า เพิ่มขึ้น ) แต่ทองคำในประเทศญี่ปุ่นไม่เพิ่มขึ้นเต็มจำนวน เพราะว่า มีทองคำไม่พอจ่าย ก็จึงต้องจ่ายเป็นพันธบัตรพิเศษล่วงหน้า (เหมือนประมาณว่า เฮ้ย เอาใบตึ๊งโรงจำนำของลูกหนี้ข้าไปค้ำก่อน พอได้เงินมาอั๊วจ่ายแน่ ราวๆนั้น) ส่งผลให้ เงินญี่ปุ่นที่แข็งค่าขึ้นก็ไม่แข็งแรง ก็เป็นโดมิโนไปอีก ทีนี้เวลาญี่ปุ่นจะจ่ายเงินให้ไทย ก็จ่ายด้วยสัญญาพวกนี้ไปเลย (สัญญาไม่ถือว่าเป็นษะ เพราะยังมีมูลค่า เพียงแค่อัตราเสี่ยงของมูลค่าเฟ้อสูงขึ้น )
สัญญาพวกนี้ก็ถูกขายเลหลังกันไป จากญี่ปุ่นไปไทย ไทยไปลาว ไปนั่นไปนี้ (จ่ายให้ประเทศที่ค่าเงินอ่อนกว่าตนเอง สัญญาพวกนี้ จะไม่ขาดทุน ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นจ่ายหนี้ไทย 10 ล้านบาท แต่ในมูลค่าสัญญานี้คือ 10 ล้าน ยูโร ก็ซอยัญญามาจ่ายให้กับไทย ก็ได้กำไรแบบเฟ้อๆในมูลค่าส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน อีก)
จ่ายไปจ่ายมา ก็จ่ายกันครบทุกสัญญาแล้ว ใน 12 ปีที่ผ่านมา ก็เลยทำพันธบัตรพิเศษขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีนักลงทุนประเทศรายใด กล้าลงทุน (ธนบัตรพิเศษนี้ขายให้คนภายในประเทศไม่ได้ เพราะก็เหมือนไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น) เมื่อไม่มีนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นซื้อขาย ก็เลยต้องประกาศดอกเบี้ย 200% (จำได้ใช่ไหม ที่กรีซขายพันธบัตร) ทีนี้ จีนก็มาซื้อพันธบัตรนี้จากยุโรปรายใหญ่ เพราะผลดอกเบี้ย พร้อมกับแลกสัมปทานท่อน้ำมัน และอื่นๆอีกมากมาย
ถึงกระนั้นปัญหายังไม่จบอีก เพราะเงินเฟ้อมันล้นระบบหมดแล้ว และคนในประเทศก็ต่างเก็บเงินไว้ต่างประเทศ และส่วนหนึ่งหลุดจาก การนิยมหนีหนาวมาทางเอเชีย
IMF ก็ยิ้ม และรอจ้องเขมือบสัญญาสัมปทานน้ำมันของบริษัทพลังงานใหญ่ๆในยุโรป เพื่อมาค้ำ ดอลล่า อีก ผสมกันเข้าไปทีนี้ก็มั่วเละคุ้มเป้ะ
อเมริกาและยุโรปเลยต้องร่วมหัวจมท้ายกัน ทำทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ เพราะไม่งั้น ตายหมู่แน่ เพราะจีนก็เป็นเจ้าหนี้พันธบัตรอเมริการรายใหญ่ด้วย
ทีนี้ทำไงล่ะ ก็อย่างที่เห็ฯนั่นล่ะ แหกกฏละเมิดกฏกันวุ่นวาย ให้โซรอส มาพูโได้อย่างไรไม่ทราบ ชี้นำว่าเศรษฐกิจยุโรปจะร่วงๆๆๆ (ปกติเขามีกฏผู้ที่มี Dynamic Voice มหาศาล พูดอะไรที่เป็ฯการชี้นำเศรษฐฏิจ) เมื่อออกมาพูด ก็เสริมส่งให้นักลงทุนเอเชีย วิตก
นักธุรกิจภาคเอกชน ก็บอก ชิหายแหล่ว ต้องขนเงินออกมาจากยุโรป ไปฝากไว้เป็ฯสกุล usd จะปลอดภัยที่สุด
สุดท้าย ปอนด์ อังกฤษคือตาอยู่ของเกมนี้
-"- อธิบายให้เป็นภาษาบ้านๆ เพราะกลัวว่าผู้อ่านจะไม่เข้าใจหลักการ การเงินระดับ GtoG
ที่มา
บทความ
[1] ตอน 1https://www.facebook.com/photo.php?fbid=181354692016437&set=a.105310389620868.14247.100004257220592&type=1
[2] ตอน 2 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=181631891988717&set=a.105310389620868.14247.100004257220592&type=1
[3] ตอนสาม https://www.facebook.com/photo.php?fbid=181662735318966&set=a.105310389620868.14247.100004257220592&type=1
ภาพ
[1] https://www.facebook.com/photo.php?fbid=181640011987905&set=a.105310389620868.14247.100004257220592&type=1
[2] https://www.facebook.com/photo.php?fbid=181655155319724&set=a.105310389620868.14247.100004257220592&type=1
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
สงสัยอะไรถามได้ครับผม