ก่อนเข้าตลาดเจ้าของเดิมเริ่มต้นทำธุรกิจ
กระบวนการทำงานของทุน |
- เจ้าของมีเงินเก็บเป็นทุน (ส่วนของผู้ถือหุ้น) ก้อนหนึง ถ้าไม่พอก็กู้มาเพิ่ม ภาษาการเงินจะเรียกส่วนของผู้ถือหุ้น และ หนี้สิน ว่า แหล่งที่มาของเงินทุน(Source of fund)
- ต่อมาก็เอาแหล่งที่มาของเงินทุน(Source of fund) เงินไปซื้อสินทรัพย์ (Asset) ภาษาการเงินว่าแหล่งที่ใช้ไปของเงินทุน(Used of Fund) ถ้าจะเปิดร้านกาแฟก็หมดเงินไปกับการแต่งร้าน ซื้อเครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟ นม น้ำแข็ง
- พอของครบก็เปิดร้านได้แล้วมีคนมาซื้อลูกค้าได้สินทรัพย์ของเราไป(กาแฟ) เขาก็ให้เงินมาแลกเปลี่ยนเงินส่วนนี้เรียกว่ายอดขาย เงินมาก็เอาไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับปัจจัยการผลิตที่เราไปยืมเขามา คนงานก็จ่ายค่าแรง เจ้าของที่ก็จ่ายค่าเช่า จ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ ฯลฯ
- ถ้าหักค่าใช้จ่ายในข้อ 3 แล้วเหลือ เขาเรียกว่ากำไรซึ่งจะวนกลับไปส่วนของผู้ถือหุ้นให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ สามารถนำเงินไปลงทุนเพิ่ม หรือคืนหนี้ได้ เงินที่เหลือก็ออกมาเป็นเงินปันผลให้กินได้ใช้ ถ้ากิจการมีความสามารถในการแข่งขันธุรกิจไปได้เรื่อยๆ ก็เหมือนเป็นเครื่องจักรเงินสดให้เราได้กินตลอดไปยัน ลูกหลาน
สรุปง่ายๆ หัวใจของการลงทุนเพราะต้องการกำไรทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
เมื่อธุรกิจเติบโตและต้องการใช้เงินก็นำบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
ตลาดหลักทรัพย์(ตลาดทุน) เป็นตลาดที่ทำให้คนมีทุน กับคนต้องการใช้ทุนมาเจอกัน ซับซ้อนขึ้นอีกนิดแต่ไม่เกินความสามารถในการเข้าใจของท่านแน่นอน
กลไกการทำงานของทุนในตลาดหลักทรัพย์ |
สำหรับหุ้นที่เรานั่งๆ เทรดกันอยู่ เขาเรียกว่าตลาดรอง คิดภาพง่ายๆ เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี คนที่นั่งอยู่ (ถือหุ้น) ถ้าธุรกิจดีก็มีสิทธ์ได้ัรับเงินปันผล คนที่ไม่ได้นั่งก็ได้แต่มองเพราะเก้าอีมีจำกัด ถ้าอยากนั่งเก้าอี้ก็ต้องไปเจรจากับคนที่นั่งอยู่ถ้าเขายอมขายเราก็จ่ายเงิน และไปนั่งแทน ราคาที่ตกลงกันก็เรียกว่าราคาตลาด (Market price) ถ้ากิจการเติบโตเรื่อยๆปันผลก็โตขึ้นเรื่อยๆ คนที่นั่งอยู่ก็คงไม่ขายราคาเดิมแน่นอนต้องขายในราคที่สูงขึ้นราคาหุ้นก็ ขึ้น แต่ถ้ากิจการเลวร้ายผลประกอบการตกต่ำคนที่นั่งอยู่ถ้าขายราคาเดิมก็ขายไม่ ออกก็ต้องลดราคาลงราคาหุ้นก็ตก ส่วนต่างระหว่างการเข้ามานั่งกับตอนที่ออกไปก็คือ capital gain /loss ตรงนี้เงินไม่เข้าบริษัทเพราะเป็นการตกลงกันเอง
ดัง นั้นสรุปลงทุนในหุ้นก็เหมือนทำธุรกิจเองโดยผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนอยู่สองอย่าง ก็คือ เงินปันผล และ โอกาสได้กำไรหรือขาดทุนจากการขายหลักทรัพย์ สำหรับผมข้อดีคือได้เป็นเจ้าของกิจการดีๆ ตามกำลังทรัพย์ที่เรามีครับ 1000 เดี่ยวก็ซื้อได้และผลตอบแทนก็ยังดีกว่าฝากธนาคารเยอะ
แล้วเปิดบริษัทเองหรือลงทุนในหุ้นดีกว่ากัน
ในโลกทุนนิยมเราต้องรวยด้วยคนอื่นครับมาดูกันว่าอันไหน work กว่า1 การจัดหาทุน ใช้เงินตัวเองส่วนหนึ่ง เงินคนอื่น (หนี้) ส่วนหนึ่ง
- ทำธุรกิจเอง ทุนน้อย แหล่งเงินกู้ถูกๆ ไม่มีบางคนกู้สินเชื้อบุคคล 28% ต่อปี เงินกู้น้อกระบบ ทำให้ต้นทุนของเงินทุนสูง
- ซื้อหุ้น บริษัทเขาทุนเยอะ ทำมานานทำให้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยถูก MLR แค่ 7% ต่อปี ออกตราสารหนี้ก็ได้ ทำให้ต้นทุนของเงินทุนต่ำกว่ามาก
2 นำเงินทุนไปซื้อสินทรัพย์และนำไปสร้างรายได้ มูลค่าของสินค้าก็ถูกกำหนดโดยคนอื่น (ราคาตลาด) เมื่อเอาทรัพยากรคนอื่นมาก็จ่ายผลตอบแทนไปเช่นค่าแรง ค่าเช่า ดอกเบี้ย
- ทำธุรกิจเอง ถ้าทำธุรกิจทั่วๆไปร้านเล็ก สามารถสร้างรายได้ได้น้อย บางทีไม่คุ้มค่าแรง ค่าเช่า และดอกเบี้ยเงินกู้
- ซื้อหุ้น ทุนเยอะก็ลงทุนได้เยอะ ต้นทุนหลายๆตัวก็ถัวๆกันไป ก็ยังมีกำไร
3 ถ้าหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือเป็นกำไรทำให้ความมั่งคั่งของเราเพิ่มขึ้น
4 ทำซ้ำข้อ 1-3 ถ้าได้กำไรความมั่งคั่งคุณจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
จะเห็นว่าบริษัทใหญ่ๆได้เปรียบบริษ้ทเล็กๆ เกือบทุกประตู แต่ถ้าคุณทำธุรกิจเองได้กำไรคุณเห็นเงินเป็นกอบเป็นกำครับเพราะเรากินคนเดียว แต่ลงทุนหุ้นถ้าหุ้นดีๆ ที่คนรู้จักเยอะๆ แล้วคุณต้องซื้อราคาที่แพงขึ้นทำให้ผลตอบแทนที่กลับมาหาเราต่ำลงครับ
ป.ล. จงสะสมความมั่งคั่งแต่พอดีเพราะตายไปก็เอาความมั่งคั่งที่สะสมไปด้วยไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
สงสัยอะไรถามได้ครับผม