PE Ratio เป็นการประเมิณมูลค่าโดยใช้ "ตัวคูณราคา (price multiples valuation)" อยู่บนหลักการที่ว่า การหามูลค่าหรือราคาหุ้นก็คือ การประเมินว่าราคาหุ้นที่ผู้ลงทุนจ่ายออกไปจะนำไปซื้อตัวแปรทางการเงินที่แทนมูลค่าใดได้บ้าง สำหรับ PE Ratio ก็คือ คุณยอมจ่ายซื้อหุ้นด้วยราคาเป็นกี่เท่าของกำไร (earning ) นั่นเอง
อัตราส่วน PE |
ตัวอย่าง
- หุ้น A มีค่า PE ratio 10 เท่า แปลว่าคุณจ่ายเงินไป 10 บาทเพื่อแลกกับการได้กำไร 1 บาท
- หุ้น B มีค่า PE ratio 6 เท่า แปลว่าคุณจ่ายเงินไป 6 บาทเพื่อแลกกับการได้กำไร 1 บาท
ถ้าทั้งสองบริษัททำธุรกิจเดียวกัน ความเสี่ยง การเจริฐเติบโต ฯลฯ คล้ายๆกัน ก็จะสรุปได้ว่าหุ้น B มีราคาต่ำกว่าโดยเปรีบเทียบกับหุ้น A
บางคนก็มอง PE Ratio เป็นการหาจุดคุ้มทุน สมมติหุ้น B มี PE ratio 6 เท่า ถ้าบริษัททได้กำไรคงที่ทุกปีนึกลงทุนต้องถือหุ้นนี้ไป 6 ปีจะเท่าทุน
หัวใจสำคัญของการใช้ PE Ratio ในการประเมินมูลค่าคือการวิเคราะห์กำไร (earning) ครับ เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่ต้องเฟ้นหา มาดูหลักการกันครับ
หุ้น PEปัจจุบัน (trialing PE) ต่ำดีจริงหรือ?
ค่า PE ที่โชว์ใน SET เขาเรียกว่า trialing PE เขาจะคำนวณจาก ราคาปัจจุบัน หารด้วย กำไร 4 ไตรมาศย้อนหลัง บางคนเห็นหุ้น PE ต่ำๆ มีปันผลสม่ำเสมอก็ซื้อเลย แต่ต้องดูนิดนึงครับว่า PE ต่่ำแบบมีคุณภาพหรือไม่PE ต่ำแบบมีคุณภาพ ถือแล้วสบายใจลั้นลา
- รายได้ กำไรโตสม่ำเสมอ
- อัตรากำไรสม่ำเสมอ
- กำไรสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ ดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) เทียบกับกำไรสุทธิ ถ้าใกล้ๆกันถือว่าดี
- ธุรกิจไม่ต้องลงทุนเยอะๆเพื่อขยายกิจการ
- เงินทุนหมุนเวียน (สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน) อย่าง earth ขายถ่านหินอัตรากำไรน้อย แต่อยากโตจำเป็นต้องลงทุนในลูกหนี้การค้า กับสินค้าคงเหลือมาก แต่เครดิตการค้าได้นิดเดียว ทำให้ CFO ติดลบเงินขาดมือ ต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อหมุนเงิน นักลงทุนก็กลัวเพิ่มทุน
- สินทรัพย์ถาวร บางธุรกิจจะโตได้ต้องลงทุนสินทรัพย์เยอะ เมื่อดำเนินงานช่วงแรกๆ ต้นทุนคงที่มากทั้ง ค่าดำเนินการ ค่าเสื่อมก็เยอะ ดอกเบี้ยก็แยะ ต้องใช้เวลากว่าจะคุ้มทุน
- ถึงธุรกิจขาดทุน PE = n.a เราก็ลงทุนได้ เพราะถ้าธุรกิจพลิกมาเป็นกำไรได้เราก็รวย ต้องมาดูว่าเขาขาดทุนเพราะอะไร ในทางธรุกิจถ้าธุรกิจยังไม่หมดความสามารถในการทำกำไรปัญหาอะไรก็สามารถแก้ไขได้ทั้งนั้น
PE ต่ำแบบไม่มีคุณภาพ มีโอกาศติดดอยสูง:
- ธุรกิจไม่โต หรืออยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน
- หุ้นที่มีกำไรพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานธุรกิจปกติเช่น เช่นกำไรจากการขายสินทรัพย์ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจากการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์
- หุ้นวัฏจักรที่กำไร ผันผวน หุ้นกลุ่มนี้ PE ต่าต้องขายเพราะเป็นช่วงสูงสุดของวัฏจักร กำไรถึงจุดสูงสุดใครเข้าไปต้องระวังติดดอยครับ
หาราคาเป้าหมายของหุ้นด้วย Forward PE
คนที่เป็นเซียนก็คือคนที่สามารถทำนายกำไรในอนาคตได้แม่นกว่าคนอื่น เหมือนยากแต่ถ้าเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง เล่าแผนงานในอนาคตได้เป็นฉากๆ ตัวเลขกำไรในอนาคตจะออกมาเองทำให้เห็นราคาเป้าหมายก่อนคนอื่น (บางคนเป็นเพื่อนกับผู้สอบบัญชีก็จะเห็นกำไรก่อนชาวบ้าน แต่ทำบ่อยๆระวัง กลต เรียกไปทานกาแฟละกัน) เราก็เข้าซื้อก่อนคนอื่น ถ้ากำไรมาอย่างที่เราคิดราคาก็วิ่งไปเป้าหมายเอง ถึงเป้าเราก็ขายก่อนคนอื่น ให้คนอื่นที่เข้ามาที่หลัง (แมงเม่า) ติดดอยไปสำหรับการหาราคาเป้าหมายโดยใช้สูตร
- ราคาเป้าหมาย = [PE] x กำไร (Earning) ที่คาดการณ์
- ถ้าราคาตลาดต่ำกว่าราคาเป้าหมายมากๆ ก็ซื้อ
- PE เป้าหมายที่ใช้เป็นตัวคูณอาจแบ่งเป็นช่วงๆ เช่น
- หุ้นเสี่ยงหน่อยกำไรผันผวน ก็ < 10
- หุ้นทั่วๆ ไปก็ PE 10 - 15
- หุ้นจะมี PE ขึ้นถ้า
- ตลาดคาดหวังการเจริญเติบโต (growth) มากๆ แต่ต้องระวังถ้าธุรกิจกำไรเติบโตลดลงโอกาศติดดอยมีสูงมาก
- ไปทำอะไรที่ความเสี่ยงลดลง เช่น tpoly จากรับเหมาก่อสร้างที่กำไรไม่ค่อยสม่ำเสมอก็มาทำโรงไฟฟ้าทำให้กำไรผันผวนลดลง หรือ โรงงานน้ำตาลหลายโรงที่เอากากน้ำตาลมาทำไฟฟ้า เอทานอล
- อัตราการจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับกำไร (payout ratio) มากขึ้น
ตัวอย่าง
- การประเมินมูลค่าต้องมองไปข้างหน้าครับว่า ในอีก 1-3 ปีข้างหน้าบริษัทจะทำกำไรได้เท่าไร สมมติว่าอีก 1 ปี จะทำกำไรสุทธิได้ 100 ล้านบาท และบริษัทนี้มีจำนวนหุ้นสามัญที่ชำระแล้วเป็นจำนวน 100 ล้านหุ้น เราก็จะได้กำไรต่อหุ้น (EPS) เป็น 100ล้านลาท / 100 ล้านหุ้น = 1 บาท / หุ้น
- สมมติให้ PE ในอนาคตเท่ากับ 15 เท่า มาจากการเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้งทำให้เชือได้ว่ากำไร 3 ปีจากนี้ต้องโตได้ 20% แน่ๆ จากแผนการขยายสาขา ฯลฯ (โม้ได้เป็นวัน)
- ดังนั้นราคาเป้าหมายใน 1 ปี = 15 เท่า x EPS 1 บาท = 15 บาท ณสิ้นปี
- ดูราคาหุ้นที่เป็นอยู่ปัจจุบันว่าราคาเท่าไหร่ สมมติราคาเป็น 10 บาท แสดงว่าในอีก 1 ปี หุ้นตัวนี้มีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มเป็น 15 บาท ก็เป็นไปได้ ทำให้ถ้าเราเข้าซื้อวันนี้เราก็จะมีโอกาสทำกำไร 50% ใน 1 ปี เป็นต้น
- แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นบนกระดานมีราคาเป็น 15 บาท ก็แสดงว่าราคาได้ขึ้นมารองรับผลประกอบการในอนาคต 1 ปีแล้ว (โดยประมาณ) เราก็ไม่ควรซื้อ
เพราะฉะนั้นในการหาหุ้นที่จะทำกำไรให้เราได้ยาวนาน ก็ต้องเป็นหุ้นของกิจการที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนจะต้องมองกิจการให้ตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด และคาดหวังผลตอบแทนจากหุ้นอย่างสมเหตุสมผล ด้วยสมมุติฐาน และข้อมูล ความรู้ ความมีวินัย การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมในการลงทุน ให้สมเหตุสมผลที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
สงสัยอะไรถามได้ครับผม