1. หุ้น A จำนวน 40 ล้านหุ้น
2. รายย่อยถือ 40% 16 ล้านหุ้น
3. ราคาตลาด 30 บาทต่อหุ้น
4. มูลค่า 40% ตามข้อสองเท่ากับ 480 ล้านบาท
5. เจ้ามือตัวจริงก็ขยันทำงานบริหารกิจการให้มี EPS เจริญเติบโตไป ส่วนเจ้ามือแดกด่วนก็ทำตัวเป็นไอ้โม่งค่อยๆเก็บหุ้นอย่างใจเย็น ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน ราคาจะ side way ไม่ไปไหนแต่มี volume ซื้อขายทุกวัน สมมติให้เก็บหุ้นจำนวน 60% ของข้อ 2 เท่ากับ 9.6 ล้านหุ้น ใช้เงินเท่ากับ 288 ล้านบาท
ภาพที่ 1 แสดงเจ้ามือแดกด่วนทำตัวเป็นไอ้โม่งแอบเก็บหุ้นจากรายย่อยอย่างใจเย็น |
6.หุ้น 9.6 ล้านหุ้น อยู่ในมือของ A B C D ซึ่งเป็นพวกเดียวกัน
7. สมมติฐานการเล่นหุ้น
7.1 ถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นเร็ว 40% ที่เหลือจากข้อ 5 จะขายไม่ทัน และอาจเปลี่ยนใจไม่ขาย
7.2 การเปลี่ยนใจไม่ขายตาม 7.1 ค่อยขายในราคาที่สูงขึ้น โดยกลุ่ม F ซึ่งเป็นคนนอกจะเข้ามาซื้อ
8. ตารางการซื้อขายหุ้น
8.1 50% ของข้อ 5. เท่ากับ 4.8 ล้านหุ้นใช้ไล่ราคาหุ้น
ปริมาณหุ้นที่เคาะซื้อ | ราคาเฉลี่ย | มูลค่า | ส่วนเพิ่ม | สะสม |
4.8 | 35 | 16.8 | - | 16.8 |
4.8 | 40 | 19.2 | 2.4 | 19.2 |
4.8 | 45 | 21.6 | 2.4 | 21.6 |
4.8 | 50 | 24 | 2.4 | 24 |
4.8 | 55 | 26.4 | 2.4 | 26.4 |
4.8 | 60 | 28.8 | 2.4 | 28.8 |
4.8 | 65 | 31.2 | 2.4 | 31.2 |
4.8 | 70 | 33.6 | 2.4 | 33.6 |
4.8 | 75 | 36 | 2.4 | 36 |
4.8 | 80 | 38.4 | 2.4 | 38.4 |
8.2 50% ของข้อ 5 เท่ากับ 4.8 ล้านหุ้น เก็บเอาไว้เฉยๆ
9. จากข้อ 8.1 ใช้เงินสดเท่าไรในการเข้าซื้อหุ้นจนราคาเป็น 80 บาท
10. เงินสด 38.4 ล้านบาทหายไปไหนหรือไม่
11. มูลค่าตลาดของหุ้นตามข้อ 8.1. ที่ 4.8 ล้านหุ้น ราคา 80 บาท เท่ากับ 384 ล้านบาท
12. มูลค่าตลาดของหุ้นตามข้อ 8.2. ที่ 4.8 ล้านหุ้น ราคา 80 บาท เท่ากับ 384 ล้านบาท
13. ปริมาณหุ้นในข้อ 11. และ ข้อ12. เทหายให้กลุ่ม F
14. ขณะที่ F เข้าซื้อที่ราคา 80 บาท พื้นฐานของหุ้น A เปลี่ยนไป โดยมี
14.1 PE ratio ประมาณ 10-15 เท่า
14.2 P/BV ประมาณ 4-5 เท่า
15 เกิดเงินงอกจากกิจกรรมในครั้งนี่เท่าไรลองคิดเอา
ภาพที่ 2 แสดง วัฐจักรหุ้นปั่น
ที่มา http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2010/08/I9543104/I9543104.html
|
ภาพที่ 3 แสดงการสร้างราคาหุ้น ML และ MAX ที่มากรุงเทพธุรกิจ http://daily.bangkokbiznews.com/home/20130402 |
แต่ถ้าหุ้นมีพื้นฐานรองรับ เช่น distar ที่ใครๆก็บอกว่าเป็นหุ้นเน่า แต่รุ่นลูกเข้ามาได้ทำการเปลี่ยนธุรกิจจากผลิตทีวี distar มาขายเครื่องสำอางค์ KAMART และได้กำไรอย่างงดงาม กลายเป็นเป็นหุ้น VI และราคาก็ไม่กลับมาที่เดิม (ถ้ายังขายเครื่องสำอางค์ได้กำไรอยู่นะ)
ภาพที่ 4 แสดงความคิดเห็นของคนในเว็ป pantip สมัยที่ใครๆก็บอกว่าเป็นหุ้นเน่า ที่มา http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2010/08/I9543104/I9543104.html |
http://app.appsflyer.com/id871125783/?pid=7208&c=mobile_ios
ตอบลบเล่นหุ้นออนไลน์ในสมาร์ทโฟนน
กราาาาบ ขอบคุณงามๆ ครับ
ตอบลบชอบบทสรุปมากกกกเลยครัช
ตอบลบMax เมษานี้ก็ลากอีกเชื่อผมดิ หุ้นเดิมๆทำเหมือนเดิมแต่คนติดดอยไม่ใช่คนเดิมแค่นั้นเอง
ตอบลบ