วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

จังหวะเข้าซื้อแบบ VI

มาดูกันว่า VI hard core กับนัก Technical จะมาเจอกันได้อย่างไร ในทางทางเทคนิค คุณ SEHJU Research Center[1] ได้แบ่งระยะเป็น 2 Stage ดังนี้

"Stage 1 - Consolidation

ในช่วงระยะที่ 1 ราคาหุ้นนั้นจะยังไม่ได้รับความสนใจจากผู้เล่นในตลาดมากนัก โดยในช่วงนี้ รายได้, ยอดขาย และกำไร ในงบการเงินของบริษัท จะยังไม่เป็นที่จับตามองมากนักหรือไม่เป็นที่นิยมสนใจติดตาม ทำให้ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากบรรดานักลงทุนหรือกองทุนให้เข้ามาเทรดจนทำให้วอลุ่มของหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นมาได้

ช่วงที่ 1 ของราคาหุ้น superperformance stocks สามารถเกิดขึ้นยาวนานเป็นหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งอาจเกิดจากสภาพการณ์ของตลาดที่ไม่ดี ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นในช่วงที่ 1 นี้เอาไว้ก่อนแม้ว่า พื้นฐานของหุ้นจะน่าสนใจก็ตาม

ลักษณะของราคาหุ้นระยะที่ 1 :
- ราคาหุ้นจะ sideway และไม่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่แน่นอนขึ้นๆลงๆ
- ราคาจะแกว่งอยู่แถวเส้น 200-day ไม่มีแนวโน้วที่ชัดเจน
- การสร้างฐานมักจะเกิดขึ้นหลังจากหุ้นปรับตัวลงในระยะที่ 4 มาเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนหรือมากกว่า
- วอลุ่มของหุ้นจะบางมากเมื่อเทียบกับระยะก่อนหน้า (ระยะที่ 4 ที่ผ่านมา)

เป้าหมายของเราไม่ใช่การซื้อที่ราคาต่ำที่สุดหรือถูกที่สุด แต่เป็น ณ ระดับราคา+จังหวะเวลาที่เหมาะสม(เวลาก็มีต้นทุน) นั่นคือ ควรเริ่มซื้อในตอนที่ราคานั้นได้ปรับตัวขึ้นและได้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน การพยายามเข้าซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุดนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์และสิ้นเปลืองเวลา ฉะนั้น เราควรจะรอให้หุ้นปรับตัว ขึ้นมาอยู่ในระยะที่ 2 เสียก่อน
กราฟราคา

การปรับตัวเข้าสู่ระยะที่ 2 อาจจะเกิดขึ้นโดยไร้การเตือนล่วงหน้า; ไม่มีการประกาศใดๆจากบริษัทหรือมีข่าวที่สำคัญ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ วอลุ่มการเทรดจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในวันที่ราคาปรับตัวขึ้น แล้วต่อมาวอลุ่มจะเบาบางเมื่อเกิดการหย่อนตัวลงมาของราคาหุ้น สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเสมอก่อนการวิ่งของหุ้นเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อ คือ การเพิ่มขึ้นของราคาอย่างน้อย 25-30% จากจุดต่ำสุดในช่วง 52 สัปดาห์ ์

การเคลื่อนไหวเข้าสู่ stage 2 :
1. ราคาหุ้นอยู่เหนือเส้น 150-day และ 200-day
2. เส้น 150-day อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200-day
3. เกิดจำนวน Up-weeks พร้อมวอลุ่มขึ้น มากกว่าจำนวนของ Down-weeks (up-weeks : ปิดสูงกว่าวีคก่อนหน้า, down-weeks : ปิดต่ำกว่าวีคก่อนหน้า)"

สรุปว่าทาง Technical เขาให้ซื้อตอนที่เห็น trend ชัดเจน เพราะอยู่ใน stage 1 มันเสียเวลา แต่ VI สาย hard core และขีเกียจนั่งดูราคาแบบจัดตั้งแต่ stage 1 แต่ภายใต้เงื่อนไขว่า
1 ธุรกิจพื้นฐานดีและกำไรสามารถเติบโตในอนาคต โดยมีโครงการใหม่ๆ เป็นปัจจัยเร่งรอรับรู้รายได้ทำให้กำไรกระโดด เช่น AKR กำลังมีกำไรจากการลดหนี้ 475 ล้าน, TPOLY ยังมีโรงไฟฟ้าชีวมวลกำลังสร้างรอรับรู้รายได้, GRAND มีรายได้รอโอน HYDE condominium , ILINK ไปลงทุนโครงข่ายอินเตอร์เน๊ตความเร็วสูงตามแนวรางรถไฟ ฯลฯ
2 ราคายังต่ำกว่ามูลค่าถ้า 1 เป็นจริง และต้องบอกให้ได้ว่าตัวเร่งตามข้อ 1 จะเกิดขึ้นจริงเมื่อไร กำไรเข้างบเมื่อไร

เมื่อรู้ดังนี้ค่อยๆสะสมไปนึ่งกระดิกตรีนรอเรื่อยๆ เดี๋ยวช่วงที่กำไรจากตัวเร่งใกล้ๆเข้างบราคาหุ้นก็จะเปลี่ยน stage จากstage 1ไปstage 2

หรือใครอยากวิเคราะห์แบบ VI แต่เข้าซื้อแบบ Technical ก็แคะหุ้นที่อย่ใน State 1 และราคายังมี upside เก็บเข้า watch list ไว้เยอะๆ พอTechnicalบอกให้ซื้อก็ซัดเลย แต่ปัญหาคือตอนขายนี่แหละมันจะสับสนในตัวเองเช่น ถือไปซักพัก  Technical บอกให้ขาย แต่ VI บอกว่าขายเมื่อราคาขื้นไปสะท้อนมูลค่า หรือพื้นฐานกับตัวเร่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งตอนนี้ราคายังไม่สะท้อนมูลค่า พื้นฐานและตัวเร่งก็ยังเหมือนเดิม สรุปงงต้องเลือกเอาซักทางละ

เจริญในการลงทุนครับ

[1]https://www.facebook.com/photo.php?fbid=448443068615414&set=a.169230259870031.34546.167049863421404&type=1&theater

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

สงสัยอะไรถามได้ครับผม