วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

หุ้นขึ้นแต่เราไม่ได้ซื้อ(ตกรถ)ควรทำอย่างไร


บทความเรื่อง : "ตกรถ" กับ "ไม่รู้จักรถ" 
By pak ThaiVI [1]

ถ้าเรารู้ใน 3 ข้อหลักๆ ว่า...
  1. เราอยู่ที่ไหน?
  2. และเราจะไปไหน?
  3. และรถเมล์แต่ละคันมีเส้นทางการเดินทางอย่างไร?
ผมเชื่อว่าเราจะ "ไม่หลงทาง" ครับ!!!

ผมคือคนที่นั่งอยู่ "บนรถ" ครับ และภาพที่ผมเห็นจนชินตา คือ...

"บางครั้ง...ผู้คนมากมายแย่งยื้อกันเพื่อจะขึ้นรถแต่บางครั้ง...รถกลับโล่ง โหรงเหรง แทบจะไร้ผู้คน ...ทั้งๆที่เป็นบนรถคันเดียวกันแท้ๆ!!!"

มีบ้างครับ...ที่ผมเห็นคน "รีๆรอๆด้อมๆมองๆ" จะขึ้นรถ...แต่ก็ไม่ขึ้น เพราะเค้าไม่แน่ใจครับ ว่าปลายทางของรถที่ผมนั่งอยู่จะไปที่ใด?

มีบ้างครับ...ที่ผมเห็นคนขึ้นๆลงๆเปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นเพราะ เค้าไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับเส้นทางการเดินรถครับ ทำให้เค้าไม่มั่นใจ ข้อมูลที่เค้าได้มาจากการถามคนแถวๆนั้น ก็ไม่เพียงพอจะทำให้เค้าเชื่อมั่นได้ครับ

แต่บนรถที่ผมนั่ง มันก็ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ผมต้องการหรอกนะครับ บางครั้งรถก็เสียบ้าง ยางแตกบ้าง ความร้อนขึ้นสูงบ้าง ...ก็ต้องซ่อมกันไปตามเรื่องตามราวครับ แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ "บนรถ" คันนั้นเพราะผมยังมีปลายทางในใจของผม และผมเชื่อว่ารถคันนี้กำลังจะวิ่งไปที่จุดๆนั้น

ผู้โดยสารหลายท่าน ขึ้นมาบนรถ เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แล้วก็จากกันไป บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเพื่อนเยอะ บางครั้งก็รู้สึกเหงาๆนะ แต่รถคันนี้ มัน "อิสระ" ครับ ใครจะขึ้นหรือลงที่ป้ายไหน...ก็ย่อมได้เสมอ

คำว่า "ตกรถ" สำหรับผมแล้ว...มันไม่ใช่ที่สิ่งน่ากลัวอะไรเลยครับ หากเพียงเรารู้ว่า เราอยู่ที่ไหน? และเราจะไปไหน? และรถแต่ละคันมีเส้นทางอย่างไร? อีกซักพัก รถคันหลังยังจะตามกันมาอีกเยอะแยะมากมายอยู่แล้วครับ

ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราตกรถ!!!"
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "เราอยู่บนรถ" หรือ "เรายังไม่ได้ขึ้นรถ!!!"
ปัญหาที่แท้จริง คือ เรารู้จัก "รถแต่ละคัน" ดีเพียงพอหรือยัง?
...ก็เท่านั้นเองครับ

pak
(^_^)

ภาพตัวอย่างคนตกรถ

ที่มา[1] https://www.facebook.com/photo.php?fbid=322329054550027&set=a.110646835718251.13779.100003188061122&type=1

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

การเล่นหุ้นกับการเล่นเกมส์


บทความของคุณ คิม พ่อหมูน้อย โพสไว้ใน facebook[1] เปรียบเทียบการเล่นหุ้นกับเกมส์ต่างๆ ไว้น่าสนใจครับครับ เล่นเกมส์ เล่นไพ่ เตะบอล รวมไปถึงธรรมมะ เชิญอ่านโดยพลัน

ผมมีงานอดิเรกส่วนตัวหลายอย่าง แต่ล่ะอย่างให้ความสุขได้ทั้งนั้น วันก่อนว่าเรื่องเลี้ยงปลา, ปลูกผัก, ท่องเที่ยวและจีบสาวไป วันนี้เรามาว่างานอื่นที่สนุกเช่นกันให้ฟัง

การเล่นหุ้นก็เหมือนการเล่นเกมส์

เกมส์ทุกเกมส์ก็ซ้ำเดิม ๆ ตลอด เป้าหมายคือชนะ หากเราเล่นบ่อยเราก็รู้แนวทาง แต่หากเราไม่ค่อยจะเล่นหรือไม่ใส่ใจ เล่นยังงัยก็แพ้แน่นอน หุ้นก็ไม่ต่างกัน มีแค่ไม่ขึ้นก็ลง ถ้าไม่ขึ้นหรือไม่ลงก็แค่ลากข้าง และก็หมุนเวียนไปเช่นนี้เสมอ เพียงแต่เรารู้จังหวะ เราก็ชนะได้อย่างไม่ยากนัก

การเล่นหุ้นก็เหมือนการเล่นไพ่โป๊กเกอร์

 เกมส์ไหนที่เราชนะได้เราก็สู้สิเกมส์ไหนดูโอกาสชนะมีน้อย เราก็ชิงไม่เล่น และหากเราเล่นไปได้ครึ่งทางรู้ว่าสู้ไม่ได้แน่ก็ชิงยอมแพ้แต่เนิ่น ๆ เสียดีกว่า ในขณะเดียวกันแม้มั่นใจมาก หากเกิดแพ้ขึ้นมาก็ยอมรับว่าแพ้ แล้วก็เริ่มเกมส์ใหม่โดยไม่ติดใจเกมส์เดิม

การเล่นหุ้นก็เหมือนดูฟุตบอล 

นักกีฬาเก่ง ๆ ต้องอ่านดักทางไว้ข้างหน้าแล้วเล่นไปตามเกมส์แค่นี้ก็ไม่เหนื่อย แต่ถ้าเล่นเอาแต่วิ่งไล่ลูกบอล นอกจากเหนื่อย, ไม่ได้บอล ดีไม่ดีอาจหกล้มแผลถลอก งั้นเราก็แค่มอง ๆ วิ่งไปในทางที่มันจะมา ถ้ามาถึงจริง ก็เล่นเต็มที่เลย แค่นั้นก็จบ พอบอลออกขาไป ก็รอโอกาศต่อไป ดูว่าเมื่อไรมันจะมาอีก ก็เท่านั้นเอง

การเล่นหุ้นที่ดีก็ต้องมีการอ่านหนังสือเยอะ ๆ หนังสือตำรากับหุ้นผมมีเยอะไม่น้อยกว่าหนังสือธรรมะ เมื่ออ่านเยอะรู้เยอะเราก็ประยุกต์ให้เข้ากับแนวทางของเรา อันไหนแข็งไปก็ปรับลง อันไหนอ่อนไปก็เสริมหน่อย ส่วนหนังสือธรรมะก็สอนให้เราไม่โลภเกินไป ไม่หลงเกินเหตุ และมองทุกอย่างเป็นสิ่งไม่เที่ยง เมื่อไม่โลภมาก กำไรเท่าไรก็เอา แล้วมันจะขาดทุนได้บ่อยสักแค่ไหน ไม่หลงเกินเหตุทำให้มีเวลาส่วนตัว แค่ด้อม ๆ มอง ๆ ติดตามบ้างก็เหลือเฟือ และทุกสิ่งไม่เที่ยง มันมีขึ้นมีลง และก็มีสวนทางความคิดด้วย จึงไม่ซีเรียสอะไรกับมัน

แม้ว่าผมจะชอบทำบุญสารพัดวิธี แต่ผมไม่ค่อยจะทำบุญโดยการยอมเล่นแพ้เพื่อให้ผู้อื่นได้สตางค์ผมหรอก จึงมีน้อยคนนักที่จะได้กินตังค์ผม เงินผมหามาด้วยยากลำบาก หมูน้อยตัวเล็ก ๆ ร้องขอขนมทุกวัน หากไม่สุดวิสัย ผมคงไม่ทำบุญด้วยเงินค่าขนมของหมูน้อยในตลาดหลักทรัพย์ หวังว่าเพื่อน ๆ คงไม่ว่ากันน่ะคร๊าบ ^^

[1]https://www.facebook.com/groups/modmao/permalink/248957568568492/

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขายคืออะไร

ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขาย เป็นการวัดประสิทธิภาพต้นทุนในการดำเนินงานของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยอาศัยการเทียบสัดส่วนของต้นทุนในการเคลื่อนย้าย การกระจายสินค้า และการจัดเก็บดูแลสินค้าที่สิ้นเปลืองไปหรือหมดไปเป็นเปอร์เซ็นร้อยละของมูลค่าของสินค้าทั้งหมดที่จัดจำหน่ายหรือขาย เป็นรายได้ของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม. 

โดยเปอร์เซ็นร้อยละของต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขาย ถ้ามีตัวเลขเปอร์เซ็นที่สูงแสดงถึงประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ที่ไม่ดี หรือระบบการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง มีค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดเก็บสินค้าหรือสต๊อกสินค้าสูง ทำให้ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมมีกำไรน้อยลง สูญเสียความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากผลิตภัณฑ์หรือสินค้ามีต้นทุนที่สูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ในที่สุด

ที่มา พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล, "อาหารโลจิสติกส์ 001/2556" https://www.facebook.com/Dr.Pongchai/posts/580301828651780

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

โครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไป ใครได้ประโยชน์

จะเป็นนักลงทุนต้องมองยาวๆครับ มอง trend เศรษฐกิจให้ออกมาดูมุมมองเรื่องเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจของของคุณ ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้น[1] VI อธิบายได้ดีครับดังนี้

"ประเทศไทยมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล คือ พึงพิงการส่งออกในสัดส่วนที่สูงมาก ทำให้มีความผันผวนและขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมากเกินไป เมื่อประเทศใหญ่ๆของโลกมีปัญหา ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจของเรามาก เราต้องสร้างการบริโภคภายในประเทศให้สูงขึ้น เพื่อเป็นกันชนเมื่อสภาพเศรษฐกิจโลกมีปัญหา

ในขณะที่เราก็ต้องถามว่า ค่าแรงที่ต่ำนั้นเป็นรายได้ที่เพียงพอให้แรงงานใช้ดำเนินชีวิตที่เหมาะสมได้หรือไม่

เรายอมให้คนไทยทำงานหนัก แต่ได้รายได้น้อย คุณภาพชีวิตแย่ เพียงเพื่อจะได้มีต้นทุนในการผลิตสินค้าที่ต่ำ ขายสินค้าให้ต่างชาติในราคาถูกๆ ให้ชาวต่างชาติเอาเปรียบเราหรือ

ประเทศไทยมีทางเลือกมากมาย เราคงอุ้มทุกคนไม่ไหว อุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานก็ควรที่จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีค่าแรงถูกอยู่"

การ ขายสินค้าให้ง่ายๆ ด้วยวิธีง่ายๆ ก็คือ ขายถูกๆ ไม่ต้องคิดอะไรใหม่ ไม่ต้องปรับปรุงพัฒนาอะไร แล้วทำอย่างไรให้ขายถูกๆแล้วยังมีกำไร
  • วิธีแรกสำหรับสินค้าส่งออกก็คือ กดค่าเงินบาทให้ต่ำๆ ยิ่งต่ำยิ่งได้กำไรเพิ่มแบบไม่ต้องทำอะไร
  •  อีกวิธี คือ ลดต้นทุนค่าแรง กดค่าแรงให้ต่ำๆ ไม่ต้องพัฒนากระบวนการผลิต ไม่ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไม่ต้องพัฒนาฝีมือแรงงาน
อุตสาหกรรม ใดบ้างที่ออกมาพูด อุตสาหกรรมเหล่านั้นเราก็รู้อยู่แล้วว่ามีอนาคตมากน้อยแค่ไหน นายทุนหลายราย ครั้งมีกำไรก็มักหลบเลี่ยงภาษี กำไรที่ได้ก็นำไปใช้จ่ายเพื่อความสุขอย่างมากมาย ไม่เก็บหอมรอบริบไว้ปรับปรุงกิจการ

ผม คิดว่าอุตสาหกรรมเหล่านั้นไม่ช้าไม่นาน ถ้าไม่มีการปรับตัวก็ต้องเลิกกิจการอยู่ดี เพราะค่าแรงประเทศเพื่อนบ้านถูกกว่ามาก หลายบริษัทก็ปรับตัวย้ายโรงงานไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านหมดแล้ว"

ซึ่งก็สอดคล้องกับที่คุณ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.การคลัง ได้ให้มุมมองไว้ในรายการอะไรก็ไม่รู้ดูตอนปีใหม่ที่ผ่านมา ว่า"โครงสร้างเศรษฐกิจไทยตอนนี้พึ่งพิงการส่งออกมากถึง 70% มาจากภายในประเทศเพียง 30% ดังนั้นแนวนโยบายต่อไปก็จะมุ่งเน้นเสริมการบริโภคในประเทศมากขึ้น สัดส่วนในอนาคตจะพลิกจากเป็นพึ่งพิงภายนอก 30% และจากภายใน 70%

โดยภาคการส่งออก น่าจะพลิกไปผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น จะได้จ้างงานคนไทยได้ค่าแรงสูงขึ้น"

ถ้าสรุปนโยบายต่างเป็นภาพ ได้ดังนี้ครับ

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของรัฐบาล

ขยาย ความก็คือ รัฐกระตุ้น ศก. โดย ทำให้ consumption(C) การบริโภค, investment(I) การลงทุน และ Goverment spending(G) การใช้จ่ายภาครัฐ เพิ่ม ซึ่ง C, I, G ส่วนหนึ่งของ GDP ถ้าตัวแปรเหล่านี้เพิ่ม GDP

ถ้าการบริโภคในประเทศเพิ่มแล้ว  กลุ่มใหน่ที่น่าลงทุน

คุณ DeerFreeDom [2]ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า
"เงิน กำลังจะหมุนไป หมุนไปต่างจังหวัด นโยบายของรัฐบาล เป็นนโยบายที่เน้นไปที่การเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ของคนต่างจังหวัด ถ้าสามารถปลุก Demand ของคนต่างจังหวัดขึ้นมาได้ GDP ไทยจะโตอีกเยอะ

สัง เกตุไหม หุ้นค้าปลีก 3-4 ปีที่ผ่านมาขึ้นมา 1,000% ได้อย่างไร เพราะธุรกิจพวกนี้เขาเน้นขยายสาขาไปยึดทำเลงามๆๆ ต่างจังหวัดหมดแล้ว ธุรกิจอสังหาใหญ่ๆๆ เช่น SIRI ตอนนี้รายได้หลักมาจากต่างจังหวัดแล้ว
"
สรุปว่าทำมาหากินในไทยดีสุดแระ หุ้นส่งออกคงแย่หน่อย เจริญในการลงทุนนะครับ
ที่มา 
[1]https://www.facebook.com/DeerFreeDom/posts/2681602775930
[2]https://www.facebook.com/DeerFreeDom/posts/107327592776149

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

Magic formula กับหาหุ้นเด็ด ประจำปี 2556

แนวคิด Magic formula นี้ถูกนำเสนอในหนังสือชื่อ คัมภีร์สุดยอดนักลงทุน (The little book that beats the market) สูตรมหัศจรรย์เพื่อชัยชนะและความมั่งคั่ง ผู้เขียน Joel Greenblatt (โจเอล กรีนแบลตต์) ผู้แปล ชานันท์ อารีย์วัฒนานนท์

สูตรนี้เป็นการลงทุนโดยอาศัยตัวกรองคือผลตอบแทนจากการลงทุนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นตัวแทนของหุ้นดี  และค่า PE เป็นตัวแทนของหุ้นถูก นำมาคำนวณเป็น Magic formula ซึ่งเราก็ไม่ต้องคำนวณเองครับเว็ป siamchart.com/stock/  เขาทำให้เรียบร้อย หัวตาราง magic 1 (PE กับ ROE) เีรียงจากน้อยไปมากเลือกมา 30 อันดับแรก

สำหรับการลงทุนด้วยสูตรนี้เขาว่ามีข้อดีคือ
  • จะได้หุ้นที่ราคาถูก(PE ต่ำ) และหุ้นดี (ROE สูง)
  • มีการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆตัว เพราะเลือกมาตั้ง 30 ตัว

สำหรับผลตอบแทนในปี 2555 ที่เคยทดลองกรองหุ้นด้วย Magic formula รายชื่อตามลิงค์นี้  ผ่านไป 1 ปีได้ผลตอบแทนดังนี้ครับ

No Name Price 2/1/2555 Price 2/1/2556 return % Weigh Weighted Return%
1
WIN 0.36 0.83 130.56 0.00 0.04
2 TGPRO 0.2 0.6 200.00 0.00 0.04
3 GRAND 1.14 1.38 21.05 0.00 0.02
4 ACAP 7 6.95 -0.71 0.01 0.00
5 EVER 0.65 0.72 10.77 0.00 0.01
6 PTL 14.9 14.4 -3.36 0.01 -0.05
7 BLISS 0.04 0.04 0.00 0.00 0.00
8 AJ 14.2 15.9 11.97 0.01 0.16
9 ASIMAR 1.54 2.24 45.45 0.00 0.07
10 PT 3.12 6.4 105.13 0.00 0.31
11 SENA 2.28 3.32 45.61 0.00 0.10
13 MCS 8.8 6.4 -27.27 0.01 -0.23
12 RASA 1.81 1.6 -11.60 0.00 -0.02
14 SST 9.9 13.3 34.34 0.01 0.32
15 BFIT 6.8 6.05 -11.03 0.01 -0.07
16 IVL 29.25 26.25 -10.26 0.03 -0.29
17 NOBLE 5.6 6.15 9.82 0.01 0.05
18 PHATRA 28.75 30.64 6.57 0.03 0.18
19 FORTH 3.52 3.72 5.68 0.00 0.02
20 SGP 14 14.1 0.71 0.01 0.01
21 GL 24 73.25 205.21 0.02 4.70
22 SMK 219 347 58.45 0.21 12.21
23 BCP 18.9 31.5 66.67 0.02 1.20
24 AIT 47.25 58.75 24.34 0.05 1.10
25 QLT 6.55 10.1 54.20 0.01 0.34
26 KCAR 9 16.4 82.22 0.01 0.71
27 BANPU 546 422 -22.71 0.52 -11.83
28 TKS 6.1 6.75 10.66 0.01 0.06
29 SPALI 14.3 18.4 28.67 0.01 0.39
30 SVI 3.2 4.1 28.13 0.00 0.09

total 1048.16 average 36.64 1.00 9.64

สำหรับการลงทุนแบบสิ้นคิดผมว่าได้ผลตอบแทนดีเลยทีเดียว ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบไม่ถ่วงน้ำหนักอยู่ที่ 36.64% ส่วนผลตอบแทนแบบถ่วงน้ำหนักด้วยราคาอยู่ที่ 9.64% มาตกม้าตายที่ banpu ติดลบไปเยอะมัก
เฮีย Joel Greenblatt จำหน้าไว้ให้ดีๆ

สำหรับรายชื่อหุ้นเด็ดปี 2556 โดยอ. Joel Greenblatt กรองโดยเว็ป siamchart เหมือนเดิมปีหน้าจะหมู่หรือจ่าเดี๋ยวปีหน้ามาลุ้นกันครับ


No. Name Price P/E ROE%
1 AAV 5.35 1.68 113.59
2 NIPPON 3.5 2.87 66.5
3 N-PARK 0.06 6 105.79
4 NEP 1.07 4.46 44.31
5 MDX 7.05 6.08 46.23
6 FOCUS 3.64 6.39 54.56
7 UMI 7.85 5.9 43.62
8 TMW 45 4.33 37.24
9 BROOK 2.82 7.42 45.54
10 SF 7.1 5.11 34.65
11 TTL 80 2.56 30.96
12 KBS 10.6 5.64 33.64
13 UVAN 95.25 8.1 41.73
14 CFRESH 10 8.33 36.2
15 YUASA 10.7 8.99 44.32
16 TRC 7.5 8.52 36.35
17 ACAP 6.95 4.09 24.52
18 QLT 10.1 9.35 36.58
19 IFEC 2.66 6.82 25.52
20 SCP 52.5 9.01 31.82
21 LANNA 23.4 8.54 27.42
22 KMC 0.45 6.43 23.67
23 SRICHA 39 10.8 55.46
24 CCP 6.5 10.83 57.48
25 TWFP 170 7.01 22.49
26 INTUCH 69.5 11.56 97.31
27 AIT 58.75 10.4 30.01
28 TCCC 22 9.44 24.66
29 SPPT 3.92 7.69 20.66
30 UPOIC 11.3 10.97 30.71

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

akr จะอยู่หรือไป

akr โดยธุรกิจเดิมเป็นผู้นำเรื่องหม้อแปลงครับ ยอดขายหม้อแปลงอาจดีกว่า qtc trt ด้วยซ้ำ (จุดเด่นที่ connection) ถ้าอยากรู้ว่าดีอย่างไรไปดูที่งบเฉพาะกิจการครับไม่เคยขาดทุน

หม้อแปลงของ akr

ทีนี้เขาอยากโตก็ระดมทุนเข้าตลาดโม้ว่าจะมาทำโรงงานผลิตแผงโซล่าเซลครับ ภายใต้บริษัทย่อยที่ชื่อว่า เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด
ภาพโซลาร์ฟาร์ม ขนาด 630 กิโลวัตต์ พื้นที่ 8 ไร่ ลงทุนโดย บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกเดี่ยวซิลิคอนผลิตโดย บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด  ผลิตไฟฟ้าได้ปีละประมาณ 870,000 หน่วย มีรายได้ปีละประมาณ 9.5 ล้านบาท เริ่มผลิตไฟฟ้าต้นมีนาคม 2553
ที่มา: http://www.thaisolarfuture.com/product.php?id=12


ทำไปซักพักแข่งขันกับผู้ผลิตจากจีนก็ไม่ได้ รัฐก็ไม่สนับสนุน ตอนนี้ปัญหาคือโรงงานของบริษัทย่อยเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ และมีหนี้ให้ปวดหัวเล่นที่ 1,320 ล้าน เมื่อ 31 มีนาคมปีที่แล้วปรับโครงสร้างหนี้ไป 1320 ล้านมีเงื่อนไขดังนี้
  • 500 ล้านยกให้ ถ้าจ่าย 2 - 3 หมด
  • 500 ล้านแบ่งจ่าย 7 ปี
  • 300 ล้านขายโรงงานบริษัทย่อยมาใช้หนี้

ตอนนี้ปัญหาคือ 300 ล้านต้องจ่ายภายในเดือน มีนาคม 2556 ยังเร่ขายไม่ออกเบย

ถ้าไม่เอาออกตอนนี้บริษัทแม่ต้องเอาเงินไปเลี้ยงบริษัทย่อยๆผ่านรายการเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อย ประมาณ q ละ 20 ล้าน เพื่อเอาไปจ่ายดอกเบี้ย และค่าดำเนินการนิดหน่อยๆครับ

ที่น่าสนใจคือปีที่แล้วบริษัทได้ล้างขาดทุนสะสมโดยการลดทุน + นำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้าง ทำให้ตอนนี้งบเฉพาะกิจการไม่มีขายทุนสะสมพร้อมจ่ายปันผล หรือเพิ่มทุนในกรณีเลวร้ายที่สุดครับ

สรุปว่าช่วงปี 2556 นี้ เป็น shot วัดใจครับว่าหวยจะออกแนวทางไหน โดยสรุปจะมีอยู่ 3 แนวทาง ที่จะปลดล็อคได้ คือ


  1. ขาย เอกรัฐโซล่าร์ ให้ได้(หากรัฐบาลมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชัดเจน โอกาสขายได้ก็มี)
    ผลกระทบ - ถ้าหากผู้ซื้อ ซื้อหุ้นทั้งหมดของ เอกรัฐโซล่าร์ งบการเงินก็จะแสดงแต่งบของ เอกรัฐวิศวกรรม เท่านั้น ซึ่งงบกำไรขาดทุน ก็จะดีขึ้นทันที ,เงินลงทุนในบริษัทย่อย ที่เคยตั้งด้อยค่าไว้ก็จะถูกบวกกลับตามราคาที่ขายได้ ,เงินที่ได้จากการขายเอกรัฐโซล่าร์ ก็นำไปใช้หนี้ตาม สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ไม่ต้องเพิ่มทุนมาชำระหนี้ ส่วน 300 ล้านบาท ที่ต้องชำระปี 57(หากขายได้เงินเพียงพอต่อการชำระหนี้)
  2. รีไฟแนนซ์ จาก ธ.ทหารไทย ไป ธ.xxx แล้วดำเนินการปิดกิจการ เอกรัฐโซล่าร์
    คงมีหลายๆคนสงสัยว่า ในเมื่ิอเอกรัฐโซล่าร์ขาดทุน ทำไมไม่ปิดทิ้งไป ค่าใช้จ่ายจะได้ลดลง งบกำไรขาดทุน จะได้ดูดีขึ้น? ส่วนตัวคิดว่า น่าจะมีเหตุผล 2 อย่าง 1. เมื่อมีผู้ซื้อ ผู้ซื้อสามารถดำเนินกิจการต่อได้ทันที 2. (อันนี้สำคัญ)การปิดเอกรัฐโซล่าร์ จะทำให้ต้องบันทึกสินทรัพย์ในมูลค่าที่อาจจำหน่ายได้ แทนที่มูลค่าสินทรัพย์ตามงบดุลในปัจจุบัน เช่น ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เฉพาะของเอกรัฐโซล่าร์ บันทึกที่ 810 ล้าน ถามว่าถ้าขายจะขายได้ 810 หรือเปล่า คำตอบ คือ ไม่ถึงแน่ๆ แล้วเท่าไหร่หละ สมมติให้มูลค่าที่อาจจำหน่ายได้ เท่ากับ 300 ล้าน มันจะเกิดอะไรขึ้น

    สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ

    ณ ไตรมาส 1/56

    2,255 = 1,830 + 425

    ถ้าหากปิดเอกรัฐโซล่าร์ (เดิมบันทึก ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 810 ล้าน ต้องบันทึกเป็น 300 ล้าน มูลค่าลดลง 510 ล้าน)
    (2,255 - 510) = 1,830 + (425 - 510)

    ส่วนของเจ้าของ ติดลบทันที อันนี้เรื่องใหญ่

    แต่ปัญหาทุกอย่างมีทางออก ไม่ใช่ว่าบริษัทจะบันทึกสินทรัพย์เกินความเป็นจริงเท่านั้น แต่หนี้สินของบริษัท ก็บันทึกเกินความเป็นจริงเหมือนกัน เพราะยอดหนี้ที่บันทึกไว้ คือ 1,284 แต่จ่ายจริงเพียง 805 ล้าน ส่วนต่าง 479 ล้าน นี่หละสำคัญ การรีไฟแนนซ์ คือทางออก เพื่อที่จะให้มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้เสียก่อน แล้วจึงปิดเอกรัฐโซล่าร์

    2,255 = (1,830 - 479) + (425 + 479)

    2,255 = 1,351 + 904 (*หน้าตางบดุลหลังรีไฟแนนซ์)
    แล้วทำการปิดเอกรัฐโซล่าร์
    (2,255 - 510) = 1,351 + (904 - 510)
    จะเห็นว่าส่วนของเจ้าของเพียงพอแล้ว ไม่ติดลบ
    เมื่อปิดเอกรัฐโซล่าร์แล้ว งบกำไรขาดทุน ก็จะดูดีขึ้นทันที
  3. การเพิ่มทุน แล้วปิดกิจการ เอกรัฐโซล่าร์
    ขั้นตอนก็คล้ายๆกับ แนวทางที่สอง แต่แทนที่จะเพิ่มส่วนของเจ้าของ โดยการรีไฟแนนซ์ เปลี่ยนเป็นการเพิ่มส่วนของเจ้าของโดยการเพิ่มทุนแทน ซึ่งแนวทางนี้น่าจะใช้เมื่อใกล้ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ 300 ล้าน ที่ต้องชำระในปี 57 แล้วยังปฏิบัติตามแนวทางที่ 1 หรือ 2 ไม่ได้


วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มเดินเรือ

บริษัทที่ทำธุรกิจเดินเรือเป็น cycle stock ที่ผลประกอบการถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนากซะเยอะ ถ้าปัจจัยภายนอกดีเดียวกำไรก็โตราคาวิ่งกระฉูด ธุรกิจพวกนี้รายรับขึ้นกับดัชนีค่าระวางเรือ ต้นทุนที่ขึ้นกับราคาน้ำมัน คู่แข่งก็เข้ามากันง่ายๆเห็นค่าระวางเรื่อสูงๆ กำไรดีก็สั่งต่อกันเยอะแยะ แล้วก็มาตัดราคากัน

ธุรกิจสายเรือจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

เรือที่แล่นในตลาดหุ้นไทยสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทหลักๆคือ เรือเทกอง กับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ รายรับจะขึ้นๆ ลงๆ ตามดัชนีครับ
  • ถ้าจะเล่นหุ้นที่เป็นเรือเทกอง (tta, psl) ดัชนีที่เกี่ยวข้องก็คือ
    • BDI (Baltic Dry Index)
  • ถ้าจะเล่นหุ้นที่เป็นเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ (rcl) ดัชนีที่เกี่ยวข้องก็คือ
    • HRCI (Howe Robinson Containership Index)
    • CCFI (China Containerize Freight Index) **
    • SCFI (Shanghai Containerize Freight Index) **
สำหรับ RCL เขาว่าให้ดู CCFI, SCFI  เพราะส่งไปจีนเยอะ

เรื่อง demand supply ของเรือก็ต้องใส่ใจ

นอกจากต้องเกาะติดเรืองดัชนีค่าระวางเรือแล้วก็ต้องติดตามอัตราการสั่ง ต่อเรือด้วย ช่วงที่ค่าระวางสูงๆคนก็สั่งต่อเรือกันยกใหญ่จนตอนนี้เรือมีเป็นจำนวนมากจึง เกิดภาวะ over supply เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการดำเนินงาน ต้องรอให้จำนวนเรือสั่งต่อน้อยลงเรื่อยๆ และผู้เล่นรายเล็กหายไปจากตลาดแหละครับ ผู้ที่ใหญ่กว่าจะอยู่ได้
สู้ต่อไปสายเรือทั้งหลาย
แต่น้องสละเรือไปก่อนละ รอเศรษฐกิจโลกดีๆ ค่าระวางพุ่ง สายเรือเล็กล้มละลายเยอะๆ เดี๋ยวเจอกัน เหอเหอ

เรื่อกับเหล็ก

เหล็กมันหนักก็ต้องขนทางเรือครับ เรือเทกองจะได้ประโยชน์ ช่วงไหนตลาดเห็นเหล็กขึ้นก็จะไปเกร็งเรือเทกองกันครับ เพราะเชื่อว่าจะได้ประโยชน์

เรียบเรียงจากเว็ป thaivi http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51683

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์วงจรเงินสด (Cash Cycle) ของกิจการ

Cash Conversion Cycle (CCC) หรือ บางครั้งเรียกง่าย ๆ ว่า Cash Cycle หรือ วงจรเงินสด นั้นเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณาสภาพคล่องของกิจการ โดยตัวเลขที่ได้ เป็นตัวเลขสมมุติให้ผู้บริหารพอมีไอเดียเกี่ยวกับการใช้เงินสดของตนว่าบริษัทใช้เงินสดลงทุนซื้อวัตถุดิบและผลิตสินค้าหรือซื้อสินค้ามารอในสต๊อกจนกระทั่งมีการขายออกไปและสามารถเก็บเงินลูกค้าได้เงินสดกลับมา หมดสิ้นขั้นตอนนี้ใช้เวลากี่วัน บางบริษัทก็อาจมีวงจรเงินสดที่ยาวมาก บางบริษัทอาจสั้น หรือถึงขนาดติดลบก็มี

ผู้เขียนขอพูดถึงวิธีคำนวณอย่างง่าย เพื่ออธิบายแนวความคิดสำหรับผู้เริ่มต้น แต่หากต้องการลงลึก อยากให้ผู้อ่านไปศึกษาต่อถึงวิธีการคำนวณที่ละเอียดถูกต้องกว่านี้ วิธีอย่างง่ายคือ

Cash Cycle (วัน) = Inventory Conversion Period (ICP) + Receivable Conversion Period (RCP) - Payable Conversion Period (PCP)

ระยะเวลาขายสินค้า Inventory Conversion Period (ICP)

ICP นั้นคือการพิจารณาว่าบริษัทผลิตสินค้าแล้วขายออกไปได้ภายในกี่วัน คำนวณจาก Inventory / (Cost of Goods Sold/365) โดย Inventory คือสินค้าคงคลังเฉลี่ย เราหาได้จากงบดุล หารด้วยต้นทุนสินค้าขายต่อวัน ก็จะทำให้เราทราบว่า จำนวนสินค้าที่ผลิตหรือซื้อมาเตรียมขายนั้นสามารถถูกขายไปได้หมดภายในกี่วัน นอกจากเราจะเอาตัวเลขที่ได้นี้ไปใช้คำนวณ Cash Cycle แล้ว ในเบื้องต้นเรายังสามารถพิจารณาได้อีกว่า จำนวนวันขายที่ว่านี้มันเหมาะสมหรือไม่ เช่นหากสินค้าที่เราขายนั้นเป็นสินค้าที่มีโอกาสตกรุ่นทุก 6 เดือน แต่เราคำนวณวันขายออกมาได้ 300 วัน แสดงว่าบริษัทนี้มีปัญหาขายของในสต๊อกไม่ทันตกรุ่นแน่นอน หรือในทางตรงกันข้าม จำนวนวันขายที่คำนวณออกมาต่ำเกินไปก็อาจแปลว่า บริษัทบริหารแผนผลิตไม่ดีและมีสินค้าไม่พอขายเสียโอกาสโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม บริษัทที่บริหารการผลิตแบบ Just in Time อาจมีจำนวนวันขายที่สั้นมากเพราะผลิตเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา หรือธุรกิจค้าปลีกที่ซื้อมาขายไป ด้วยระบบคลังสินค้าแบบ Cross Docking ที่รับมาแล้วส่งต่อไปยังร้านสาขาและวางจำหน่ายบนชั้นสินค้าให้ไวที่สุด อย่างพวกร้านสะดวกซื้อ หรือร้านหนังสือ ก็อาจจะมีจำนวนวันขายที่สั้นมากได้ ซึ่งแบบนี้ถือว่าดี

ระยะเวลาเก็บหนี้ Receivable Conversion Period (RCP) 

สำหรับ RCP (Receivable Conversion Period) นั้นคำนวณจาก Receivable / (Sales/365) หรือ จำนวนลูกหนี้การค้าที่หาได้จากงบดุล หารด้วย ยอดขายจากงบกำไรขาดทุน ปรับให้เป็นยอดขายเครดิตต่อวัน ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารทราบว่า บริษัทสามารถเก็บหนี้เฉลี่ยได้ภายในกี่วัน โดยนอกจากประโยชน์ในการเอาไปรวมคำนวณ Cash Cycle แล้ว เบื้องต้นยังสามารถพิจารณาตัวเลขว่ามันเหมาะสมกับธรรมชาติธุรกิจหรือไม่ เช่นหากนโยบายบริษัทระบุไว้ว่าให้เครดิตลูกค้าไม่เกิน 45 วัน แต่ตัวเลขวันเก็บหนี้ที่คำนวณได้นั้นเกินไปมาก เช่น 70 วัน นั่นอาจแปลว่าบริษัทมีปัญหาในการเก็บหนี้ และการขายได้มากแต่ทำให้วันเก็บหนี้ยาวขึ้น จะทำให้เงินสดของบริษัทถูกดึงเข้าไปหมุนในระบบมากขึ้นและนานขึ้น ไม่ได้หมุนกลับเป็นเงินไหลเข้ามาเสียที และสุดท้ายอาจทำให้บริษัทมีปัญหาสภาพคล่องได้

โดยเฉพาะอย่าลืมว่า เงินสดของบริษัทนี้มีต้นทุน WACC แต่เครดิตที่ให้ลูกค้าไปนั้นไม่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้

ระยะเวลาชำระเจ้าหนี้การค้า Payable Conversion Period (PCP)

PCP (Purchase Receivable Period) คำนวณจาก Purchases/ (Cost of Goods Sold/365) เจ้าหนี้การค้า (จากงบดุล) หารด้วย ต้นทุนสินค้าขายต่อวัน (งบกำไรขาดทุน) ตัวเลขนี้จะบอกจำนวนวันที่เราชำระหนี้การค้า หากจำนวนวันสูงอาจแสดงว่าเราใช้เครดิตให้เป็นประโยชน์ได้ดี และจำนวนวันต่ำก็อาจแปลว่าเรามีอำนาจต่อรองน้อย หรือ อาจเป็นการซื้อเงินสดเพื่อให้ได้ส่วนลดจำนวนมากก็เป็นได้ โดยทั่วไปแล้วจำนวนวันชำระหนี้นี้ยิ่งมากน่าจะดี เพราะ เจ้าหนี้การค้า เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย เหมือนเรายืมเงินคนอื่นเข้ามาหมุน หากยืมมาได้นาน แต่ขายแล้วเก็บเงินสดได้ เรายังสามารถนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยอีกด้วย

วงจรเงินสด Cash Cycle

เมื่อเราคำนวณทั้ง ICP+RCP-PCP ได้แล้ว เราก็ได้ตัวเลข Cash Cycle ออกมาว่าเป็นจำนวนกี่วัน ในธุรกิจค้าปลีกที่แข็งแกร่งเราอาจเห็น Cash Cycle ติดลบได้ และเมื่อเรานำ Cash Cycle ของหลายปีมาเรียงต่อกัน เราอาจเห็นภาพประสิทธิภาพในการใช้เงินสดของบริษัทว่ามันดีขึ้นหรือเลวลง ผู้เขียนพิจารณา Cash Cycle ของบริษัทที่ตนสนใจทุกครั้งก่อนการลงทุน แต่หากขี้เกียจคำนวณเอง เราก็สามารถหาอ่านได้จากรายงานประจำปี ที่เขามักจะมีสรุปไว้ให้ได้

ที่มา
[1]https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment/posts/525842104110376
[2]https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment/posts/526216367406283

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์และประเมินมูลค่าของธุรกิจบัตรเครดิต

ขอแชร์เรื่องการทำมาหากิน การวิเคราะห์และ การประเมินมูลค่าหุ้น ของธุรกิจบัตรเครดิตมากขึ้น บทความดีๆจากคุณ airazoc [1] ณ thaivi ครับ

การทำงานของธุรกิจบัตรเครดิต

ปกติแล้วธุรกิจบัตรเครดิต ถ้ามองแบบ overview คร่าวๆ จะประมาณนี้

ธุรกิจบัตรเครดิต
บริษัทบัตรเครดิต อยู่ตรงกลาง ทำงานหลักสองอย่าง คือ
  1. ออกบัตรเยอะๆ เพื่อให้บัตรไปอยู่ในมือผู้ถือบัตรเยอะๆ 
  2. Acquire ร้านค้าเยอะๆ (เอาเครื่องรูดบัตรไปวาง) จะได้มีร้านรับบัตรของเราเยอะๆ
จากนั้นก็เป็น Business As Usual คือ
  1. ประชาชนเอาบัตรไปรูดปรี้ดๆ ที่ร้านค้า
  2. บริษัทเอาเงินตามไปจ่ายให้ร้านค้า
  3. เมื่อตัดรอบครบกำหนด เราก็ไปเก็บเงินคืนจากผู้ถือบัตร

ทีนี้รายได้ กับ รายจ่าย ของบริษัทมาจากไหนบ้าง

รายได้หลักๆ มีสองส่วน (ถ้าไปดูในงบ KTC จะใกล้กันมาก แทบจะครึ่งๆ)
  1. รายได้ค่าธรรมเนียมส่วนลดร้านค้า (MDR, Merchant Discount Rate) ให้นึกถึง เรารูดสินค้าไป 100 บาท ร้านค้าอาจจะได้รับ สมมติว่า 98 บาท อีก 2 บาท เรียกว่า MDR ซึ่งจะเอาไปแบ่งกัน ระหว่าง Acquirer (เจ้าของเครื่องรูด) กับ Issuer (ธนาคารผู้ออกบัตร)
  2. รายได้ดอกเบี้ย (จากผู้ถือบัตรที่ชำระไม่ครบในแต่ละรอบบิล ก็จะถูกคิดดอกเบี้ยในส่วนที่ค้างชำระ)
รายจ่ายแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆ
  1. Cost to Income (รายจ่ายต่างๆ เงินเดือนพนักงาน, outsource, ค่าที่ปรึกษา, ค่าโน่นนี่สารพัด)
  2. ค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนทางการเงิน (นอกจากเงินทุนของบริษัทแล้ว ปกติบริษัทบัตรจะ ออกหุ้นกู้, ตั๋ว debenture, กู้ยืมจากสถาบันการเงินอื่นๆ มาเป็นเงินสำหรับปล่อยวงเงินบัตรให้ลูกค้า)
  3. หนี้สูญและสงสัยจะสูญ
งบกำไรขาดทุน ktc

สำหรับการประเมินมูลค่าธุรกิจบัตรเครดิต

เริ่มจากประเมินหารายได้ และ รายจ่ายก่อน

รายได้นั้น อย่างที่บอกไปว่ามีหลักๆ 2 ส่วนคือ MDR และ ดอกเบี้ยรับ

  1. การ คำนวน MDR เฉลี่ย นั้น จริงๆ ต้องใช้ตัวเลขพอร์ทลูกหนี้บัตรทั้งหมด ซึ่งเป็นยอดที่ลูกหนี้ต้องมาชำระทุกเดือน เอามาคูณ 12 ก็จะได้ยอดเงินหมุนเวียนในระบบ (เช่นพอร์ท สี่หมื่นสามพันล้าน ก็จะมีเงินหมุนผ่านปีละประมาณ ห้าแสนล้าน) แล้วหารายได้ MDR ต่อปีมาหาร เช่น สมมติว่า พอร์ทสี่หมื่นล้าน มีรายได้ MDR ต่อปี 5500 ล้าน MDR เฉลี่ย ออกมาประมาณ 1.1% (ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะหายากหน่อย เอายอดรายได้ค่าธรรมเนียม กับ พอร์ทลูกหนี้นั่นแหละ หารกันออกมาก็ได้ตัวเลขคร่าวๆ ถ้าอยากทำละเอียดให้โทรไปถามยอดแยกเอา หรือบางบริษัทในงบจะมียอดแยกให้) จริงๆแล้ว บริษัทผู้ออกบัตรจะได้ราวๆ 1.6-1.8% สำหรับบัตรแพลตินั่มสำหรับยอดรูดในร้านค้าทั่วไป แต่เนื่องจากบางร้านค้า เช่นปั้มน้ำมัน จะได้ MDR บางเฉียบมาก 0.2-0.3% เป็นต้น เฉลี่ยๆ ออกมาก็ราวๆนี้แหละ 1.0-1.2%

    (ที่ต้องหา MDR เฉลี่ย เก็บเอาไว้ เพราะถ้าในอนาคต ผู้บริหารให้สัมภาษณ์ว่ายอดการใช้บัตรโตกี่ % หรือ มีหน่วยงานไหนประกาศตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตออกมา เราก็สามารถประเมินตัวเลขในอนาคตได้ทันที ไม่ต้องรองบออก โดยคำนวนจากพอร์ทที่ขยายขึ้นคูณ MDR เฉลี่ย)
  2. รายได้ดอกเบี้ย อันนี้แล้วแต่บริษัท ตัวเลขค่อนข้างแตกต่างกัน ขึ้นกับกลุ่มลูกค้า บางบริษัทในบางประเทศ รับเฉพาะลูกค้าพรีเมี่ยมสุดๆ รายได้ดอกเบี้ยจะไม่ค่อยมี แต่ volume ที่ได้ MDR จะมหาศาล บางบริษัทจับชนชั้นกลาง ก็จะมีรายได้ตรงนี้เป็นสัดส่วนต่อรายได้มากกว่า แต่ถ้าทำ normal ratio จะไม่ค่อยสวิงเท่าไหร่ คือถ้าต่ำ ก็ต่ำตลอด สูงก็สูงอยู่อย่างนั้น นอกจากจะเปลี่ยน target group ดังนั้น ถ้าจะประเมิณรายได้ดอกเบี้ย ก็คิด normal ratio ของปีก่อน เทียบกับขนาดพอร์ทลูกหนี้เอาก็จะพอใช้ได้ครับ

การประเมินรายจ่าย

รายจ่ายที่ต้องคำนวน มี 3 รายการ

  1. รายจ่ายต้นทุนทางการเงิน ถ้าขี้เกียจเปิดย้อนดูว่าออกตั๋วไปกี่ล้านที่กี่ % กู้แบงค์มาเท่าไหร่ เฉลี่ยแล้วเท่าไหร่ ก็โทรไปถามบริษัท ได้ครับ ว่าตอนนี้ดอกเบี้ยเฉลี่ยจ่ายอยู่เท่าไหร่ ก็เอามาคูณยอดหนี้ ที่บอกอยู่ในงบ ถ้าระหว่างไตรมาส มีออกตั๋วหรือออกหุ้นกู้อะไรขึ้นมาก็อย่าลืมบวกเพิ่มเข้าไป
  2. หนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญ ผมจะเอาหนี้สูญและสงสัยจะสูญ มาลบด้วยหนี้สูญได้รับคืนปีถัดมา (เช่นเอาหนี้สูญปี 53 ลบหนี้ได้รับคืนที่ได้รับในปี 54) เพื่อประเมินคร่าวๆว่า สูญจริงๆ ราวกี่ % (อะไรที่ปีถัดมายังไม่ได้คืนก็ทำใจว่าชวดละ) ส่วนที่จะคำนวนล่วงหน้าก็ต้องลองคำนวนจากที่ ผบห ให้สัมภาษณ์ว่าประมาณกี่ % และจะทำให้เป็นกี่ % แล้วประเมินดูว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้ายังไม่เชื่อ ก็ต้องลอง discount ลงไปดู เช่น ผบห บอกว่าจะทำได้ 4% แต่ของเก่าก่อนหน้านั้นสมมติว่า 7% ก็อาจจะลองใช้ สัก 5.5% ดูก่อน (ครึ่งทาง เผื่อทำได้ไม่เท่าที่ให้สัมภาษณ์) แล้วก็ลองประเมินว่าตรงนี้เท่าไหร่
  3. Cost to Income เดิม 47% ก็ต้องลองประเมินว่า ผบห จะลดลงเป็น 40% ได้อย่างที่ให้สัมภาษณ์หรือไม่ ตรงนี้ควร ลองโทรไปสอบถามบริษัทดู เพื่อประเมินดูว่า บริษัทจะลด Cost to Income ได้จากอะไร ซึ่งตามข่าวก็คือจะลดจากค่า out source ซึ่งจะดึงงานมาทำเองหลายอย่าง รวมถึงปรับกระบวนการทำงาน ถ้าฟังรายละเอียดแล้วเชื่อมั่นก็อาจจะใช้ตัวเลขที่ให้ในข่าวคำนวน ถ้าฟังแล้วไม่มั่นใจ ก็ต้อง discount ลงไป

กำไรของบริษัทก่อนภาษี ก็จะออกมาคร่าวๆคือ

(รายได้ค่าธรรมเนียม+รายได้ดอกเบี้ย) - (ค่าใช้จ่ายทางการเงิน+หนี้สูญและสงสัยจะสูญ+Cost to Income)
ได้เท่าไหร่ โดนภาษี 23%
ออกมาเป็น net income เอาไปหารจำนวนหุ้น ก็จะได้ EPS

จะแม่นยำแค่ไหน ขึ้นกับว่าทำตัวเลขละเอียดแค่ไหนครับ ถ้าใช้ตัวเลขคร่าวๆ EPS ที่เพื่อนๆประเมินได้ ก็จะคร่าวๆ
ถ้า แยกตัวเลขละเอียดได้ ก็จะได้ค่อนข้างใกล้เคียง ที่เหลือก็คือต้องประเมินว่าตัวเลขเป้าหมาย cost to income กับ NPL ที่อยู่ในข่าวที่ ผบห ให้สัมภาษณ์นั้น มั่นใจแค่ไหน จะ discount เท่าไหร่

ขอให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขในการลงทุนครับ

ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=49&t=53772&start=1680

ความเชื่อของ value investor

การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ เรื่องสัมมาทิธิ หรือความเชื่อที่ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงไม่ใช่ทึกทักเอาเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นครับ มาอ่านบทความเกี่ยวกับความเชื่อของคุณ OutOfMyMind on Value Investment เขียนไว้บน page[1][2] ได้น่าสนใจ เชิญอ่านโดยพลันครับ

"ความสำเร็จในกิจการงานใดใดนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะผู้ปฏิบัติมีความศรัทธาต่องานนั้นและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบรรลุภารกิจนั้นให้จงได้ การลงทุนเองก็ไม่แตกต่าง เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ผู้เขียนจึงเทใจศรัทธาและเชื่อมั่นกับหลักการลงทุนว่ามันทำได้จริง เพราะเห็นตัวอย่างจากนักลงทุนที่มุ่งมั่นทั่วโลกว่าเขาทำสำเร็จกันมาแล้วมากมาย จิตใจที่แข็งแกร่งแน่วแน่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การตัดเสียงรบกวนรอบข้างออกไปและตัดสินใจตามแนวทางของตนแม้ว่ามันจะฝืนกับความเชื่อของคนอื่นๆ และหากเราต้องการเป็นนักลงทุนสายพื้นฐานที่เน้นความเข้าใจในกิจการ เข้าซื้อหุ้นของบริษัทแข็งแกร่งในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้ว ในแบบที่ผู้เขียนใช้นั้น ก็ขออนุญาตแชร์ให้ฟังว่า ผู้เขียนเชื่อว่า
  1. การลงทุนที่ดีนั้นต้องช้าเข้าไว้ เดินช้า ๆ มาขึ้นรถและรอจนกว่ารถออก นั้นปลอดภัยกว่าการกระโดดขึ้นรถในนาทีสุดท้าย 
  2. การลงทุนด้วยข้อมูลสาธารณะ ข้อมูลเปิดเผยตามสื่อทั่วไป ไม่ได้ทำให้เราเสียเปรียบนักลงทุนที่รู้ข้อมูลวงในเสมอไป เพราะอันที่จริงเราไม่ได้แข่งกับใครทั้งสิ้น นอกจากหาซื้อของดีในราคาถูกที่วางขายในตลาดหลักทรัพย์อย่างเปิดเผย 
  3. การเข้าใจโมเดลธุรกิจอย่างถ่องแท้ นั้นสำคัญกว่าความสามารถในการคำนวณสูตรหรือสมการยาก ๆ เพื่อประเมินมูลค่าธุรกิจออกมา 
  4. ไม่มีราคาเหมาะสมปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหน ๆ มีแต่มูลค่าตลอดชีพของกิจการที่เราต้องคอยประเมินอยู่เสมอและมันเปลี่ยนแปลงได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนหรือมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้น 
  5. ไม่จำเป็นต้องแบ่งหุ้นเป็น Defensive, Turnaround, Cycle, Growth หรืออะไรทั้งนั้น เพราะการลงทุนที่ดีต้องเริ่มจากการป้องกันเงินต้นให้ได้ (Defensive) ด้วยการเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง หาจังหวะซื้อของดีที่ตลาดยังไม่รับรู้ (Turnaround) เข้าลงทุนที่ระดับราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอ แล้วถือยาวข้ามความผันผวน (Cycle) โดยบริษัทนั้นต้องมีโอกาสเพิ่มมูลค่าให้กับการลงทุนอย่างเพียงพอในระยะยาว (Growth)
  6. อย่าถูกหลอกด้วย Sector และ Stereotype ของมัน จริงอยู่ว่า กิจการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิคส์ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก หรืออื่น ๆ น่าจะมีคุณลักษณะและปัจจัยทางธุรกิจที่เฉพาะตัวและทำให้ดูเหมือนว่ามีบางอุตสาหกรรมน่าลงทุนมากกว่าบางอุตสาหกรรม แต่อย่าลืมว่าเราลงทุนในบริษัทไม่ใช่อุตสาหกรรม การเข้าไปศึกษาธุรกิจอย่างลึกซึ้งอาจพบกว่าธุรกิจหนึ่งถูกจับวางอยู่ในอุตสาหกรรมหนึ่งแต่มีบริษัทลูกทำธุรกิจอีกอีกอุตสาหกรรมและมันกำลังไปได้ดีมาก การมองแบบ Bottom Up หรือ Look-Through จะช่วยให้เราค้นพบเพชรที่ยังซ่อนอยู่ได้ก่อนคนทั่วไปในตลาด 
  7. ผู้ชนะในการลงทุนไม่จำเป็นต้องฉลาดที่สุด แต่ต้องมีอุปนิสัยที่เหมาะสมกับการลงทุนมากที่สุด บางอย่างต้องฝึกฝน บางอย่างก็โชคดีที่มีมาแต่กำเนิด หากคุณไม่รู้สึกอึดอัดที่ทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านรอบข้าง บางทีคุณอาจจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า คนฉลาดที่คิดคำตอบโจทย์คณิตศาสตร์ยาก ๆ ได้ออกมาเท่ากับที่อาจารย์สอน และ 
  8. การลงทุนที่ทำกำไรได้มากคือการลงทุนที่ไม่จำเป็นต้องขายทำกำไรเลย ลงทุนในบริษัทที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่น่าพอใจได้อย่างต่อเนื่อง ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะคำพูดแบบนี้มันดูเท่ดี แต่การไม่ขายก็ไม่ต้องเสียค่าคอมทั้งขาซื้อและขาขายแต่ปล่อยให้ผลตอบแทนทบต้นได้มีโอกาสทำงานของมันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย การถือหุ้นตัวเดียวที่สร้างผลตอบแทนทบต้น 20% ต่อปีเป็นระยะเวลา 10 ปี ย่อมดีกว่าการถือหุ้นที่สร้างผลตอบแทนปีละ 20% ตัวละ 1 ปี โดยการขายตัวเก่าเข้าตัวใหม่ทั้งหมด 10 ครั้ง เพราะนอกจากมีค่าคอมมาบั่นทอนจำนวนเงินทุนในการเข้าซื้อครั้งถัดไปแล้ว นักลงทุนยังพบกับ investment risk ที่จะหาหุ้นตัวใหม่ที่ให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าเดิม นอกจากนั้น การถือหุ้นตัวเดียว 10 ปี ย่อมเปิดโอกาสให้เรามีความเข้าใจในธุรกิจของมันอย่างถ่องแท้มากกว่าการเปลี่ยนหุ้นไปมา ทำให้เรามองเกมได้ลึกกว่าชัดกว่า อย่างไรก็ตามหุ้นที่ไม่ต้องขายนั้นคงหาได้ยากแสนยาก ประเด็นที่สำคัญ คือเราไม่ควรถามตัวเองว่าซื้อหุ้นตัวนี้แล้วควรขายเมื่อไรดี แต่ควรถามว่าจะหาหุ้นที่ซื้อแล้วไม่ต้องขายได้อย่างไร เพื่อปรับกรอบความคิดและเข็มทิศให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น"
ที่มา
[1] https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment/posts/527106740650579
[2] https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment/posts/527447647283155